2 ผัวเมียสู้ชีวิตธุรกิจล่มถูกโกงเป็นหนี้หลายล้านหันหลังให้เมืองกรุงบากหน้ากลับบ้านนอก ใช้วิชา ’ชาวนา’ พลิกพื้นดินที่เสียจากปุ๋ยเคมีด้วย ‘เกษตรอินทรีย์’เต็มรูปแบบปลูกอ้อยคั้นน้ำ สู่ชีวิตที่ยั่งยืน
นายวีระวุธ โฉมนาค (วุธ) วัย36ปีและ น.ส.นัยน์ภัค นาคชูแก้ว (ฝน) วัย34ปี ชาวบ้านจากตำบลคณฑี จ.กำแพงเพชร เล่าถึงความสำเร็จที่หันมาใช้วิถีเกษตรอินทรีย์ในการปลูกอ้อยคั้นน้ำ หลังชีวิตต้องล่มสลายจากธุรกิจในกรุงเทพ
“ ก่อนที่จะกลับมาอยู่บ้านผมเป็นเจ้าของบริษัทรับเหมางานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมด้านยานยนต์ ที่กรุงเทพ ทำอยู่ 5-6 ปีมีหนี้สิ้นท่วมตัวคือชีวิตมันติดลบมาก เราไม่มีทุนจะลง ต้องไปกู้เงินเขามา รับงานทีก็ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะพาเขาไปเลี้ยงเพื่อให้ได้งาน ได้งานมาก็เหลือเงินแค่นิดเดียว โดนโกงไปเป็นล้าน หนี้สิ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยหาวิธี จะทำยังไงดีผมอยากกลับบ้าน ผมเครียดมากร้องไห้แบบไม่ให้ใครเห็นน้ำตา กลับบ้านคนอื่นเขาก็จะว่าเราแย่ ผมคิดว่าถ้าเราไม่กลับมาบ้านเราก็จะยิ่งแย่หนักว่าเดิม แต่ละเดือนต้องกู้เงินเขามาใช้กิน กลับไปตั้งหลักที่บ้านดีกว่า “
หลังจากตัดสินใจจากเมืองกรุงคืนสู่บ้านเกิด วุธมุ่งเป้าหาสิ่งที่จะทำที่บ้านเกิด ซึ่งพ่อกับแม่ปลูกไร่อ้อยส่งโรงงานเป็นพื้นฐานแต่ก็เป็นหนี้สิ้นรุงรังเพราะเกิดจากต้องซื้อปุ๋ยเคมีเขาจึงได้ตัดสินใจเข้าสู่โครงการ’ชาวนาอัจฉริยะ’ร่ำเรียนวิชาชาวนาตามแนวเกษตรอินทรีย์เพื่อลดต้นทุน
“พอคิดว่าจะกลับไปทำอะไร ผมได้เจอกับโครงการชาวนาอัจฉริยะ ผมได้เข้าไปเรียนหลายๆวิชาที่นั้นเพื่อกลับมาทำเกษตรที่บ้าน อาจารย์ ‘ต๊อด’ อดิศร พวงชมพู ท่านเป็นคนสอนให้ผมได้ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอินทรีย์มันทำยังไง ผมใช้เวลาเรียน3วัน2คืน คิดว่ามันจะเป็นหนทางให้เราได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อเรากลับไปอยู่บ้าน มันทำได้แน่นอนเริ่มมั่นใจ เพราะมันไม่อยาก พอกลับมาบ้านที่กำแพงเพชรผมก็เริ่มทำทันทีเลยลุย มาเริ่มคุยกับพ่อแม่ มาดูแปลงอ้อยเดิมที่ปลูกส่งโรงงานรอบข้างก็เป็นพวกเคมีหมดเลย พ่อแม่บอกว่าจะสู้เขาได้เหรอแมลงก็เยอะ ก็เลยขอที่พ่อแม่1ไร่ปลูกอ้อยคั้นน้ำทำตามวิชาชาวนาที่เราเรียนมา ทำเกษตรอินทรีย์เต็มรูปแบบจริงๆ ไปหาพวกกล้วย ผักตบชวาเอามาทำเป็นปุ๋ย พอทำไประยะหนึ่งอ้อยก็โตรสชาติดี พอเราทำไปคนที่เคยดูถูกเราก็กลับมาถามผมว่าทำยังไง ใช้ปุ๋ยอะไร มันทำให้ผมรู้สึกภูมิใจ กับชีวิตเกษตรอินทรีย์ กว่าที่เราจะสำเร็จเจอกับแมลง เจอกับคำดูถูก เราเริ่มจากสองมือเราจริงๆไม่มีเครื่องมือ”
ด้านน.ส.นัยน์ภัค นาคชูแก้ว (ฝน) ย้อนชีวิตอันล้มเหลวในเมืองกรุงให้ทีมข่าว77ข่าวเด็ดฟังว่า
“ เพราะอยู่ไปชีวิตมันก็แย่ลงทำงานในกรุงเทพมา5-6ปีก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ฝนเป็นคนกรุงเทพ กลับมาบ้านพี่วุธก็คิดว่าจะรอดไหม พี่วุฒิก็บอกว่ากลับไปบ้านยังไงก็รอด แต่หนูก็ยังคิดทางไม่ออกว่าจะกลับมาทำอะไร ถึงแม้พ่อจะทำเกษตรอยู่แล้ว เราก็นึกไม่ออกว่าเราจะทำอะไรได้เพราะเราชินกับการใช้ชีวิตในกรุงเทพ พอเรามาทำเกษตรอินทรีย์แรกๆก็ไม่เชื่อมั่นว่าจะทำได้จริงเหรอเพราะทุกคนเขาใช้เคมีกัน พี่วุฒิก็เล่าถึงอ.ต๊อดว่าท่านเป็นนักธุรกิจ ท่านยังทำเกษตรอินทรีย์ได้เลย เราเริ่มจากการใช้แรงกำลังของตัวเอง พอทำมาเรื่อยๆพ่อเริ่มมาช่วย แม่เริ่มมาช่วย พี่ชายเริ่มมาช่วย ครอบครัวเราเริ่มกลับมาช่วยกันทำ คนทั่วไปเขาก็พูดว่าไม่เกิน2เดือนก็กลับกรุงเทพเหมือนเดิม แต่เราก็พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าวิชาชาวนาที่เราเรียนมา เอาตรงนั้นมาทำจริงจัง ทุกเรื่องที่อ.ต๊อดสอนมันทำได้จริง เกษตรอินทรีย์มันทำได้จริงและสามารถทำให้ชีวิตเรายั่งยืนได้ ตรงกันข้ามกับชีวิตในกรุงเทพเราหากินมามันไม่มีชีวิตที่ยั่งยืนเลย เรามาทำเกษตรอินทรีย์มันเป็นอะไรที่ยั่งยืน กับชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพ ยิ่งในยุคนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่เกษตรยังคงเป็นทางรอดให้กับชีวิตของเราได้ ตอนนี้เรามีรายได้จากการปลูกอ้อยอินทรีย์คั้นน้ำวันหนึ่งก็ประมาณ3000-4000บาท ถ้ามีงานจังหวัดหรือเราไปขายตามตลาด3-4วันเรามีรายได้ถึง40000บาท เลย ต้นทุนการผลิตเราก็ถูกเพราะไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมี ที่สำคัญการทำเกษตรอินทรีย์นอกจากต้นอ้อยที่เราปลูกจะรสชาติดีแล้ว ยังรักษาพร้อมฟื้นฟูดินให้ดีด้วย”
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: