สุราษฎร์ธานี-ที่ จ.สุราษฎร์ธานีสาววัย36 ปีเจ้าของสวนปาล์มน้ำมันร่ำไห้ร้องสื่ออ้างถูกเจ้าหน้าที่รัฐจองเวรไล่จับกุมไม่เลิกทั้งที่ศาลมีคำพิพากษาตัดสินชนะคดีสามารถทำกินได้ แต่ก็ไม่เลิกรายังติดตามจับกุมกลั่นแกล้งจนเป็นคดีความอีก สุดทนขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ และเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ 7คน
นางสาวสุภาวดี ประกอบแก้ว อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48/3 หมู่ที่ 10 ตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ร้องเรียนผ่านสื่อว่าเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 นายชาญวิทย์ สิรภักดี นายอำเภอคีรีรัฐนิคมได้สั่งการให้นายพิเชษฐ ศักดา ปลัดอำเภอพร้อมพวกเข้าทำการจับกุมคนงานจำนวน 5 คนที่กำลังปลูกต้นไม้ระหว่างร่องกลางสวนปาล์ม หมู่ที่ 1 ต.บ้านทำเนียบ อ.คีรีรัฐนิคม พร้อมนำตัวไปส่งพนักงานสวบสวน สภ.คีรีรัฐนิคมเพื่อดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกที่สาธารณะ
ซึ่งนางสาวสุภาวดีได้ระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเมื่อปี 2557 และถูกพนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นโจทก์สั่งฟ้อง และตนได้ต่อสู้คดีจนชนะคดีทั้ง 2 ศาลโดยศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 โดยมีใจความในตอนท้ายคำพิพากษาว่า ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ถือว่าจำเลย (นางสาวสุภาวดี ประกอบแก้ว ) มีมูลเหตุอันจะอ้างตามกฎหมายได้ จึงไม่อาจมีคำสั่งให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารออกไปจากที่ดินที่เกิดเหตุได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน และคดีก็ถึงที่สุดแล้ว ตนจึงได้เข้ามาดูแลและปรับปรุงพืชผลอาสินของตนเอง ซึ่งตลอดเวลาต่อสู้คดีมาถึง 2 ครั้งนั้นตนไม่กล้าที่จะเข้ามาดำเนินการอะไรในพื้นที่เนื่องจากคดียังไม่สิ้นสุด เมื่อเห็นว่าคดีสิ้นสุดแล้วจึงเข้ามาดำเนินการ แต่ก็ถูกทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของอำเภอคีรีรัฐนิคมเข้าดำเนินการจับกุมซ้ำซ้อนเข้ามาอีก ทั้งที่มีการนำรายละเอียดเข้าชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อทางอำเภอแล้วก็ตาม
นางสาวสุภาวดี ยังระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวนายประดิษฐ์ ศรีปาน ซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของตนเป็นผู้ครอบครองพื้นที่มาก่อนปี 2500โดยได้ทำประโยชน์ทำนาปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ โดยมีแผนที่ทางอากาศของกรมทหารถ่ายไว้เมื่อปี 2510 มาประกอบ ต่อมานายประดิษฐ์ ได้ขายพื้นที่จำนวน 30 ไร่ให้แก่ตน ในราคา 200,000 บาท ตนจึงได้เข้ามาปลูกต้นปาล์มน้ำมันและอื่นๆ ต่อมาเมื่อกลางปี 2557 เจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินจับกุมตนพร้อมตั้งข้อกล่าวหามีความผิดบุกรุกที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน(นสล.ทุ่งเบื้องแบบ) และบุกรุก ก่นสร้าง แผ้วถางหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดครองครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในศาลชั้นต้นได้ยกฟ้องต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นและโจทก์ไม่ติดใจยืนฎีกาจึงถือว่าคดีสิ้นสุด
โดยพื้นที่ สาธารณประโยชน์ทุ่งเบื้องแบบมีประชาชนเข้าอยู่อาศัยกว่า 1,000 ครัวเรือน รวมทั้งผู้นำชุมชนและที่ทำการ อบต.บ้านทำเนียบ แต่ไม่มีรายไหนถูกจับกุมดำเนินคดี ยกเว้นพื้นที่ตนเอง ทั้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามคำกล่าวอ้างว่าเป็นพื้น นสล.ทุ่งเบื้องแบบ จึงขอวอนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งชี้แจงว่าตนกระทำความผิดอะไร จึงมาดำเนินการจับซ้ำจับซากทั้งที่คดีก็สิ้นสุดแล้ว
พร้อมกันนี้ นางสาวสุภาวดี ได้นำเอกสารเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ต.ปุณณภพ ไชยโย พนักงานสอบสวน สภ.คีรีรัฐนิคมเพื่อดำเนินคดีต่อนายอำเภอคีรีรัฐนิคมพร้อมพวกอีก 6 คน ในความผิดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความและเตรียมดำเนินการต่อไป ขณะที่ นายชาญวิทย์ สิรภักดี นายอำเภอคีรีรัฐนิคม ได้อธิบายว่าเบื้องต้น ได้รับรายงานจากนิติกรประจำ อบต.บ้านทำเนียบว่ามีการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์จึงสั่งการ ให้ปลัดอำเภอนำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดมา 5 คน ส่วนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์นั้นตนยอมรับว่าไม่เคยทราบมาก่อน และผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กับปัญหาการใช้อํานาจของเจ้าหน้าที่รัฐ )ต่อตนและชุดจับกุมก็เป็นสิทธิของผู้เสียหายที่จะดำเนินการได้
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
ข่าวน่าสนใจ:
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: