นครพนม – กรณี นายแพทย์ประสงค์ บูรณ์พงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อดีต รมว.แรงงานฯ และ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ถึง 12 สมัย กล่าวความตอนหนึ่งเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยนครพนม (มนพ.) ที่มีกลุ่มหนึ่งเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประประโยชน์มากกว่าจะพัฒนา จึงถึงเวลาทวงคืนมาสู่อ้อมแขนของพี่น้องชาวจังหวัดนครพนมอย่างแท้จริง พร้อมเตรียมยื่นหลักฐานต่อคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ตรวจสอบการบริหารงานของ ม.นครพนม
ปรากฏว่ามีการพูดคุยตอบโต้กันในกลุ่มไลน์ของผู้บริหาร ม.นครพนม รุมฉะหมอสงค์ที่ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อตั้ง ม.นครพนม อย่างดุเดือดเผ็ดมัน คนหนึ่งชงคนหนึ่งรับกันอย่างเป็นระบบ เช่น กล่าวหาว่าหมอสงค์เป็นคนแก่กว่า 80 ปี เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง บางข้อความจะใช้วิชามารช่วยกันสั่งสอนหมอสงค์ ด้วยการใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือบอกอย่าเลือก และถึงขั้นจะรวบรวมรายชื่อ 20,000 คน ยื่นถอดถอนฯลฯ
แต่ก็มีแหล่งข่าวที่อยู่ในกลุ่มไลน์รายหนึ่งเผยว่า คนที่สมควรถูกถอดถอนมากที่สุดน่าจะเป็นผู้บริหารชุดปัจจุบันมากกว่า เพราะถึงวันนี้ ม.นครพนม มีรักษาการฯมาครบ 2 ปีแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่ในสภา ม.นครพนม ต่างช่วยกันกระเตงให้รักษาการ โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากบุคคลภายนอก เพราะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเท่านั้น ยิ่งถ้าคณาจารย์คนไหนแข็งข้อก็จะหาเรื่องกลั่นแกล้งต่างๆ นาๆ ฯลฯ
นอกจากนี้แหล่งข่าวยังเผยด้วยว่า มีเสียงลืออื้ออึงถึงกรณี ม.นครพนม โล๊ะขายครุภัณฑ์ต่างๆตั้งแต่ก่อตั้งปี 2548 เป็นต้นมา ตลอดจนซากเครื่องบินที่ตกเมื่อปี 2559 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ ก็ถูกเทขายไปด้วย คิดรวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท จึงเกิดข้อสงสัยว่าถ้าขายของเก่าเหล่านั้นจริง เงินจำนวนดังกล่าวไปอยู่ไหน
และมีไอ้โม่ง อมเงินเด็กนักศึกษา ที่ไปแสดงโชว์วัฒนธรรมร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2562 อ้างเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พัก รายละ 8,400 บาท รวมเป็นเงิน 182,600 บาท ทั้งที่ความจริงเจ้าหน้าที่และนักศึกษาไม่ได้รับเงินดังกล่าวแม้แต่บาทเดียว
ขณะเดียวกันมีบุคคลอ้างเป็นผู้บริหาร ม.นครพนม นำเอกสารโครงการก่อสร้างหอพักนักศึกษา มูลค่า 2,400 ล้านบาท ไปเร่ขายงานให้ผู้ประกอบการใน กทม. มีผู้ประกอบการหลายรายมีความแคลงใจว่าโครงการระดับพันล้าน ทำไมผู้บริหารนำไปเร่ขายเหมือนขนม
ล่าสุด ม.นครพนม ได้ออกมาชี้แจงข้อกล่าวหาดังกล่าวข้างต้น ดังนี้
1.เรื่องหมอสงค์นั้น ยอมรับว่ามีการคุยกันในกลุ่มไลน์ ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกของบางคนที่มองว่าหมอสงค์เป็นผู้ใหญ่ที่ควรรับฟังความทั้งสองด้าน บางคนจึงเสนอให้ล่ารายชื่อ 2 หมื่นชื่อ เพื่อถอดถอนจากการเป็น ส.ส. ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ หลักใหญ่ก็คืออยากให้หมอสงค์ได้ฟังความสองด้านเท่านั้น
2.ข้อกล่าวหาที่ว่านักศึกษาลดลงอย่างต่อเนื่องก็ไม่เป็นความจริง ตรงกันข้ามกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นปี 2561 รับนักศึกษาประมาณ 2,600 คน ปี 2562 เพิ่มเป็น 3,800 คน ปีนี้ (63) ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกระดับ ตั้งแต่อาชีวศึกษา ปริญญาตรี และปริญญาโท และยังได้เปิดปริญญาเอกด้านบัญชีเพิ่มด้วย
3.เรื่องคณาจารย์แบ่งเป็นฝักฝ่าย ในความเป็นจริงอธิการบดีได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาและสร้างความสามัคคีจนบรรยากาศดีขึ้นเยอะ แน่นอนว่าเมื่อใครถูกร้องเรียนก็ต้องตั้งกรรมการสอบสวนไปตามปกติ หากไม่ทำก็ถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และไม่ได้ทำโดยพละการ เพราะสภามหาวิทยาลัยฯต้องรับทราบด้วย
4.เรื่องโล๊ะขายครุภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาทนั้น ความจริงเป็นเพียงการสะสางบัญชีให้เป็นระบบและถูกต้อง เนื่องจากปี 2548 จนถึงปี 2561 พบว่าการจัดทำบัญชียังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร จึงมีการสำรวจครุภัณฑ์และประเมินค่าเสื่อมราคาแค่นั้น ไม่ได้ไปโล๊ะขายแต่อย่างใด ส่วนเรื่องเครื่องบินซึ่งขณะนี้มีอยู่ 11 ลำ อายุการใช้งานนานกว่า 12 ปีแล้ว ประเมินประมูลและค่าเสื่อมราคาแล้ว เหลือราคาน่าจะไม่เกินลำละ 20 ล้านบาท ซึ่งจะมีใครซื้อหรือไม่ยังเป็นปัญหา
5.เรื่องอมเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเด็กและเจ้าหน้าที่ที่ไปร่วมแสดงทางวัฒนธรรมที่ลาว ระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2562 รายละ 8,400 บาท รวม 182,600 บาทนั้น ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเบิกได้ตามสิทธิ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทาง ที่พักและอาหาร ตามกระบวนการบริหารจัดการเป็นหมู่คณะ
6.เรื่องเร่ขายโครงการก่อสร้างหอพักนักศึกษา มูลค่ากว่า 2,400 ล้านบาทนั้น ความจริงไม่ควรใช้คำว่าเร่ขายเหมือนขนม แต่เป็นเรื่องปกติที่ทุกมหาวิทยาลัยเขาก็เปิดทางให้บริษัทเอกชนเข้าดำเนินโครงการ หากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐ เรื่องนี้ทางสภามหาวิทยาลัยก็ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้ว
