นครศรีธรรมราช:สัจจะออมทรัพย์เมืองคอนเริ่มทยอยเข้าร้องสื่อ หลังมีตัวอย่าง กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ ต.ไชยมนตรีเดินนำ ล่าสุด”กลุ่มออมทรัพย์ อ.ท่าศาลา ร้องสื่อช่วยเหลือ หลัง กก.อ้างไม่มีเงินจ่าย
ที่ทำการสมาคมสื่อมวลชน ชั้นล่าง ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มสมาชิกออมทรัพย์ชุมชนบ้านโมคลาน ม.12 ต.โพธิ์ทอง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 19 ราย ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน ให้เป็นตัวแทนประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้การช่วยเหลือ หลัง กก.กลุ่มออมทรัพย์อ้างไม่มีเงินจ่ายให้กับสมาชิก โดยให้เหตุผลว่าเป็นหนี้เสียมากพร้อมทั้งส่งทนายความกลุ่มมาทำการข่มขู่ ยึดสมุดออมทรัพย์ โดยอ้างว่าจะนำไปตรวจสอบความถูกต้อง
นางจิตรา รอดขวัญ อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/4 ม.6 ต.โพธิ์ทอง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนกล่าวว่า กลุ่มมีสมาชิกกว่า 300 คน มีเงินออมกว่า 4 แสน บาท มีนางพรปวีณ์ ทรัพย์แก้ว เป็นประธานกองทุนฯ เมื่อเดือนพฤษจิกายน ปี 60 ตนได้ยื่นเรื่องขอกู้เงินพิเศษจากกองทุนฯในจำนวน 20,000 บาท เพื่อนำไปจ่ายค่าเทอมให้กับลูก แต่ทางกลุ่มฯไม่มีเงินให้กู้ โดยอ้างว่าทางกลุ่มมีหนี้เสียมากจึงไม่สามารถจ่ายเงินให้ได้ แต่จะขอจ่ายเป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท สุดท้ายได้มาเพียงแค่ 3 เดือน จนเป็นเหตุให้สมาชิกในกลุ่มเกิดความวิตกกังวลใจจึงทยอยลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุน และไปขอรับเงินที่ฝากไว้คืน แต่ไม่มีสมาชิกคนใดได้รับเงินคืน และได้รับฟังเหตุผลเช่นเดียวกันกับตน
ก่อนหน้านี้ได้ไปร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการหลายแห่ง แต่ได้รับการปฏิเสธ เช่น ศูนย์ดำรงธรรม อ.ท่าศาลา แนะนำให้ไปติดต่อกับทางพัฒนาชุมชน อ.ท่าศาลา แต่พัฒนาชุมชนกลับให้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงของกลุ่มออมทรัพย์ฯดังกล่าว สุดท้ายจึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ ที่ สภ.ท่าศาลา, และเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับทางทหาร ที่มณฑลทหารบกที่ 41 ค่ายวชิราวุธ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ใกล้ครบ 1 ปี ยังไม่มีผลตอบรับใดๆกลับมา มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกประธานกลุ่มฯพร้อมสมาชิกมาทำการพูดคุยไกล่เกลี่ยแล้วก็ไม่เป็นผล จึงเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนหาทางช่วยเหลือผู้เดือดร้อนดังกล่าว
ข่าวน่าสนใจ:
“นางจิตรา ยังกล่าวอีกว่า วันนี้สมาชิกทุกคนไม่กล้าที่จะออกมาร้องสื่อ ที่เห็นมาเพียงแค่ 19 ราย เนื่องจากทุกคนได้รับคำข่มขู่จากทนายความที่ปรึกษากลุ่มฯว่าหากไปร้องสื่อจะไม่ได้เงินคืนแม้สักบาทเดียว และที่สำคัญสมาชิกทุกคนถูกยึดสมุดออมทรัพย์ไปหมดซึ่งถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ จึงเกรงว่าเงินที่ทุกคนเก็บหอมรอมริบจะหายไปโดยไม่ได้กลับคืนมา”
“นางมวล เพิ่มพูน อายุ 84 ปี อยู่บ้านเลขที่ 11 ม.6 ต.โพธิ์ทอง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นผู้พิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง กล่าวว่า ยายฝากเงินทุกเดือน เงินในบัญชีของยาย 4 หมื่นกว่า ปีก่อนยายไปขอเบิกมา 1 หมื่นบาท นำมารักษาคุณตา ปีที่แล้วยายไม่สบายขอเบิก 1 หมื่นบาท เหลือ 2 หมื่นกว่าบาท ยังมีของหลานอีกหลายบัญชี อยากบอกให้ช่วยคืนเงินยายด้วย ยายตาบอดทำอะไรไม่ได้ มองไม่เห็น อย่าโกงเงินยายเลย ช่วยยายด้วย คนแก่อย่างยายเหลือเวลาไม่นาน เราอย่ามีหนี้ค้างกันเลย สองหมื่นกว่าบาทสำหรับยายมีค่ามาก อยากได้เงินคืนมากที่สุด เผื่อว่ายายไม่สบายจะได้นำเงินส่วนนี้มาใช้รักษา”
สำหรับกลุ่มเงินสัจจะออมทรัพย์ หรือเงินออมของชาวบ้าน ในลักษณะดังกล่าว เป็นรูปแบบการออมเงินโดยการจัดตั้งกลุ่มกันขึ้นมาในหมู่บ้านของตน มีรูปแบบตามๆกันมาจากความเข้มแข็มและผลสำเร็จของกลุ่มเงินสัจจะออมทรัพย์ในหลายจังหวัด โดยกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตจัดตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2517 ที่ตำบลขัวมุง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดย ศ.ดร.ยุวัฒน์ วุฒิเมธี อดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ภายใต้ปรัชญา “ใช้หลักการออมทรัพย์เป็นอุปกรณ์ในการพัฒนาคน” เพื่อให้เกิดการพัฒนา คุณธรรม 5 ประการ คือ ความซื่อสัตย์ ความเสียสละ ความรับผิดชอบ ความเห็นอกเห็นใจ และความไว้วางใจในหมู่สมาชิก ตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทยในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก/วิสาหกิจชุมชน และส่งเสริมระบบการจัดการทุนของชุมชน และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ด้วยวิธีการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้การมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อให้ชุมชนมีศักยภาพในการบริหารจัดการสามารถพึ่งตนเองได้
ที่ผ่านมาการออมเงินหรือการฝากเงินในลักษณะดังกล่าว ค่อนข้างเกิดปัญหาในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด เนื่องจากความเข้มแข็งลดลง ระบบการจัดการ การบริหารที่ไม่เป็นระบบ อีกทั้งปัญหาการทุจริตของตัวบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหาร เงินสะสมหรือเงินฝากของชาวบ้านคนชราจึง อันตรธานหายไปโดยที่ไม่ได้ใช้ และปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแก้ไข ล่าสุด “กลุ่มสัจจะออมทรัพย์เพื่อการผลิต” ม.3 ต.ไชยมนตรี อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เงินฝากของสมาชิกกลุ่มกว่า 5 ล้านบาท หายไป คดีความอยู่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จนวันนี้ยังไม่สามารถคลี่คลายคดีได้แต่อย่างใด ทั้งนี้หวัดนครศรีธรรมราชยังคงมีปัญหาในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นอีกหลายพื้นที่แต่ไม่เป็นที่เปิดเผยและยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: