ฉะเชิงเทรา – ยุคนี้นายกตาสว่าง ปธ.สภาเกษตรกรไทยชมเปาะ หลังกำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติแบบพึ่งพาตนเองได้ ไม่หวังพึ่งเศรษฐกิจข้ามชาติหรือรอตัวเลขจากภาคส่งออกเป็นหลักเพียงด้านเดียว ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนชาติไทยรุ่นหลังในอนาคต
วันที่ 2 ธ.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ระหว่างที่ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอดีต รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปัจจุบันยังมีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในฐานะสภาเกษตรแห่งชาติ เดินทางมาร่วมในงานสัตว์น้ำไทย 2020 หรือ Thai Aqua Expo 2020
ที่โรงแรมซันไรส์ลากูลโฮเทล แอนด์กอล์ฟ ต.ท่าทองหลาง อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “บทบาทสภาเกษตรกรแห่งชาติ กับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจไทย” และมีการพูดถึงการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ถือว่าเป็นยุคที่มีนายกรัฐมนตรีตาสว่าง ที่ให้ความสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง
โดยไม่มุ่งเน้นการพึ่งพาจากด้านการส่งออกเพียงด้านเดียว เป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของชาติเป็นหลักเหมือนอย่างในอดีต ซึ่งมีความเสี่ยงมากกับคนไทยทั้งประเทศ ที่เคยพึ่งพาภาคการส่งออกถึงเกือบครึ่งหนึ่งของ “จีดีพี” หากมีปัญหาด้านเศรษฐกิจโลกเราก็จะล้มพับลงในทันที ขณะนี้รัฐบาลจึงหันมาสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจภายใน เริ่มจากการสร้างการบริโภคภายในของคนไทยให้เพิ่มมากขึ้น
และมุ่งเน้นให้เกษตรกรไทยมีความเข้มแข็งช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วประเทศไทยจะต้องเดินมาในเส้นทางนี้ ที่การค้าภายในหรือเศรษฐกิจภายในจะต้องเดินคู่ขนานไปกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในวันนี้ผู้บริหารประเทศได้ตาสว่างแล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้นมีมานานแล้ว ที่เราจะต้องใช้ให้เป็นเศรษฐกิจแบบคู่ขนานและเป็นเศรษฐกิจใหญ่ สร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้คนไทยอยู่ดีมีสุข ไม่พึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอกประเทศเป็นหลัก
โดยอาจจะเห็นผลช้าหน่อย แต่อย่างไรก็ตามจะต้องหันมาทางนี้แน่นอน ที่ต้องใช้ระบบขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการบริโภคภายในเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่กลุ่มประมง หรือสมาคมด้านประมง ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทำในวันนี้ ถือว่าสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี และยุทธศาสตร์ชาติทั้งหมด ที่อาจไม่ได้เห็นผลในวันนี้ แต่จะส่งผลดีต่อไปในวันข้างหน้า ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจภายในชาติของเราเข้มแข็ง และลดการพึ่งพาด้านการส่งออกเป็นหลักลงได้
โดยเราเชื่อมั่นได้ว่าประเทศเรายังมีศักยภาพสูงมาก โดยพาะด้านการเกษตรที่ยังขาดการพัฒนาหรือพัฒนาไม่ตรงเป้า ในฐานะสภาเกษตรกรแห่งชาติ เรามีหน้าที่ในการเป็นข้อโซ่หรือห่วงโซ่ ในการเชื่อมต่อระหว่างเกษตรกรกับข้าราชการ เชื่อมกับมหาวิทยาลัย กับทีมนักวิจัย เพื่อจะทำหน้าที่ในการส่งต่อในแต่ละสาขาการผลิต ที่เราจะได้ไปเซ็นเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ส่วนราชการต่างๆ เพื่อให้เกิดปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือ เกษตรกร ความรู้ เทคโนโลยี และความรู้ด้านการตลาด ราชการ
มาร้อยเรียงองค์ประกอบเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ปัญหาต่างๆ จะลดน้อยลง และความสำเร็จผลก็จะเกิดขึ้นได้ ที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานใดที่จะทำหน้าที่นี้ ในการเป็นตัวกลาง สภาเกษตรกรจึงได้มาทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานงานและนำเสนอให้ เช่น การส่งเสริมอาชีพเกษตรให้เหมาะสมกับพื้นที่ จากเดิมในภาคเหนือ ซึ่งมีสภาพแห้งแล้งขาดน้ำ แต่มีการปลูกพืชไร่นั้น ได้ทำให้ขาดทุนเกษตรกรเป็นหนี้สินไม่มีวันจบสิ้น ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นปศุสัตว์ เช่น การเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ ซึ่งราคาดีมาก กก.ละ 130 บาท
และสามารถขายผลผลิตได้ในปัจจุบัน ทั้งภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดความมั่นคงมากยิ่งขึ้น หากประเทศเรามีการปรับเปลี่ยนการผลิตให้เหมาะสมกับพื้นที่ จะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ให้แก่พี่น้องเกษตรกร ที่จะมีความหลากหลายด้านอาชีพเพิ่มมากขึ้น ทั้งด้านปริมาณและเชิงคุณภาพ การแปรรูปที่เพิ่มมูลค่า เศรษฐกิจเรายังสามารถขยายตัวได้อีกเป็นเท่าตัว และโลกทั้งโลกก็ยังคงต้องการอาหารเพิ่มที่มีคุณภาพ สร้างชีวิตให้เกษตรกรดีขึ้นได้ หากเราช่วยกัน นายประพัฒน์ กล่าวภายในงาน
–องคมนตรี เปิดมหกรรมสัตว์น้ำไทย ขณะประมงรับพัฒนาการช้ากว่าเอกชน
–องคมนตรี เปิดมหกรรมสัตว์น้ำไทย ขณะประมงรับพัฒนาการช้ากว่าเอกชน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: