นครพนม – นายก อบจ.นครพนม ทำงานเชิงรุกยันเที่ยงคืน ลุยพื้นที่จริงนำร่องกว่า 300 หมู่บ้าน สร้างอาชีพสู้โควิด พัฒนาเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยวไฉไลกว่าเดิม
วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดนครพนม ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่า นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ หรือน้องขวัญ อายุ 36 ปี ลูกสาวคนโตนายศุภชัย โพธิ์สุหรือครูแก้ว รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง/ส.ส.นครพนมเขต 1 พรรคภูมิใจไทย ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ขึ้นนั่งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม (นายก อบจ.ฯ) ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้ง ในการเป็นนายก อบจ.นครพนมหญิงแกร่งคนที่สองของ จ.นครพนม ที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้ และได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย โดยนายก อบจ.นครพนมหญิงคนแรกคือนางมนพร เจริญศรี ปัจจุบันเป็น ส.ส.นครพนมเขต 2 พรรคเพื่อไทย
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สำคัญ ที่มีการรวมตัวบุคคคลสำคัญจากพรรคการเมืองระดับชาติต่างพรรคเข้ามาร่วมสนับสนุนการพัฒนา เนื่องจากนายก อบจ.ฯหญิงแกร่ง คนใหม่ ได้นำเอาคณะผู้บริหารมาจากอดีต ส.ส.ของ จ.นครพนม มานั่งเป็นรองนายก อบจ.นครพนมถึง 2 คน คือ นายชูกัน กุลวงษา อดีต ส.ส.นครพนมเขต 4 พรรคเพื่อไทย นายแพทย์อลงกต มณีกาศ อดีต ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อแผ่นดิน และยังมีที่ปรึกษาอีกคนคือนางสุจินดา ศรีวรขาน อดีตรองนายก อบจ.นครพนม ภรรยาของ ดร.ไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนมเขต 3 พรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ยังได้มีผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.ธนบวร สิริคุณากรกุล มานั่งประธานที่ปรึกษานายก อบจ.ฯ ถือเป็นคนหนุ่มไฟแรง ที่มีความรู้ความสามารถและวิสัยทัศน์เรื่องการวางแผนพัฒนาท้องถิ่นมานานนับสิบปีร่วมกับครูแก้ว ถูกเชิญตัวนำมาเสริมทัพเพื่อทำงานเชิงรุก สร้างความเปลี่ยนแปลงด้านการพัฒนาจังหวัดนครพนมทั้ง 12 อำเภอ แบบเชิงรุก เข้าถึงประชาชน ให้สมกับเป็นเมืองพัฒนาเศรษฐกิจการค้าชายแดนที่สำคัญของภาคอีสานและประตูสู่อินโดจีน
นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ หรือนากยกขวัญ อายุ 36 ปี เปิดเผยว่าหลังเข้ามารับตำแหน่งเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ต้องยอมรับว่าตนและทีมงานต้องทำงานเชิงรุกหนักมาก เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองกำลังได้รับกระทบจากปัญหาโรคโควิดระบาด ชาวบ้านทั้ง 12 อำเภอ ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบทั้งอาชีพ รายได้ รวมถึงปัญหาด้านสุขภาพต้องอยู่ภายใต้มาตรการดูแลควบคุมโรค บางรายขาดรายได้จากการประกอบอาชีพ สิ่งสำคัญการทำงานของ อบจ. นครพนม ถือเป็นหัวใจสำคัญของท้องถิ่น ที่จะต้องเข้าไปดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน ต้องเข้าไปรับทราบปัญหาด้วยการลงพื้นที่จริง รับทราบปัญหาจริง แทนการนั่งทำงานในสำนักงาน และวางแผนแค่เชิงนโยบาย
ดังนั้นจึงระดมทีมทุกภาคส่วน ทำหน้าที่ทั้งทีมวางแผนพัฒนาด้านการเสนอนโยบาย รวมถึงทีมลงพื้นที่สำรวจรับทราบปัญหาจากชาวบ้านในพื้นที่จริงทั้ง 12 อำเภอ เพื่อให้สอดคล้องความต้องการของประชาชน ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาทีม อบจ.นครพนม ต้องทำงานหนัก ไม่มีวันหยุด เจ้าหน้าที่ทุกคน ต้องทำงานเชิงรุกจากเช้ายันเที่ยงเกือบทุกวัน เพื่อให้แผนพัฒนา อบจ.นครพนม เกิดการพัฒนาสอดคล้องทันเหตุการณ์กับการพัฒนาของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนชาว ได้รับประโยชน์มากที่สุด รวมถึงได้รับงบประมาณที่เหมาะสม ทัวถึงครอบคลุมทุกพื้นที่
นายกฯสาวเผยต่อว่าเบื้องต้นได้นำร่องสำรวจจัดทำโครงการวางแผนพัฒนา ทั้งด้านการส่งเสริมอาชีพ การพัฒนาดูแลด้านสุขภาพ การพัฒนาแหล่งน้ำ ส่งเสริมอาชีพการเกษตร รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน โดยได้นำร่องจัดทำโครงการ แล้ว 300 หมู่บ้านที่จำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ 12 อำเภอ รวม 900 โครงการ เพื่อที่จะเสนอแผนของบประมาณจากรัฐบาลมาดูแลช่วยเหลือประชาชน และคาดว่า อีกไม่นานจะเร่งดำเนินการทำแผนพัฒนาไม่ต่ำกว่า 2,000 โครงการ ให้ประชาชนทั้ง 12 อำเภอได้รับประโยชน์มากที่สุด
“ในการวางแนวทางพัฒนา อบจ.นครพนม เราเน้นให้ความสำคัญที่สุดคือ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการเข้าถึงประชาชนทุกพื้นที่ รับทราบปัญหาจากพื้นที่จริง ไม่ยึดติดเรื่องพรรค เรื่องพวก หรือฝ่ายการเมือง เราพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้เกิดแนวทางการพัฒนาร่วมกัน ประชาชนจะต้องได้รับประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญ งบประมาณที่นำมาพัฒนาจะต้องไม่กระจุกอยู่พื้นที่หนึ่งพื้นที่ใด จะต้องกระจายไปยังทุกอำเภอ โดยจะเน้นพื้นที่สำคัญเร่งด่วน เข้าไปดำเนินการตามลำดับความสำคัญ นอกจากนี้ในการพัฒนาท้องถิ่น ในภาวะโควิดระบาด สิ่งสำคัญที่สุดทาง อบจ.นครพนม ได้ให้การสนับสนุน ในเรื่องการดูแลด้านสุขภาพ การสนับสนุนอุปกรณ์ งบประมาณ ในการควบคุมดูแลป้องกันโรคโควิดระบาดควบคู่ไปด้วย ฝากถึงพี่น้องประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน เราพร้อมที่จะรับฟังทุกปัญหา และพร้อมสร้างความร่วมมือ ในการพัฒนาทุกด้าน หากเป็นความต้องการของประชาชน” นายก อบจ.นครพนม กล่าวในที่สุด
