สุราษฎร์ธานี-รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแถลงเองออกหมายจับผู้ต้องหาคดีฆ่าโหดยิงฝังถ่วงน้ำทะเลนักธุรกิจค้าหอยเมืองไชยา 7 คน จับได้ 4 ตามล่าอีก 3 พบประวัติมีพฤติกรรมอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย
จากกรณีนางสาวจินดาหรา วศินทรัพย์ อายุ 31 ปี ไลฟ์เฟซบุ๊กขอความช่วยเหลือหลังนายโกศล เรืองดุกหรือตุ้ม อายุ 45 ปี สามีนักธุรกิจค้าขายหอยและรับซื้ออาหารทะเลรายใหญ่ของ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีหายตัวไปหลังจากที่มีเพื่อนมารับจากที่บ้านพักไปดื่มสุรากับเพื่อนที่ศาลาข้างบ้านเลขที่ 89 หมู่ 5 ต.ตะกรบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี แล้วหายไป พบเพียงรอยคราบเลือดจำนวนมาก ลากเป็นทางยาวมาจนถึงถนนหน้าหมู่บ้าน เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 2 พ.ค.2564 ที่ผ่านมา ต่อมาพลตำรวจเอกสุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงพื้นที่คลี่คลายด้วยตัวเอง ซึ่งนำตัวพยานมาสอบสวนปากคำร่วม 20 ปาก มี 2 คนที่อยู่ในเหตุการณ์และรับเป็นผู้ร่วมก่อเหตุเปิดปากรับสารภาพว่านำศพนายโกศล ไปฝังไว้ในป่าก่อนเคลื่อนย้ายไปถ่วงน้ำทิ้งทะเลบริเวณ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง โดยตำรวจได้นำตัวไปชี้จุดที่ฝังร่างพบเพียงซองบุหรี่กับธนบัตรฉบับละ 100 บาทมีคราบเลือดติดอยู่แต่ไม่พบร่างจนกระทั่งเค้นสอบเพิ่มเติมและผู้ร่วมก่อเหตุ ค้นหากลางทะเลร่วม 2 วัน มีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองร่วมด้วย แต่การค้นหาเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากเป็นช่วงน้ำตายท้องทะเลเต็มไปด้วยตะกอนขุ่น วิสัยทัศน์ในการมองเห็นน้อยมาก แม้นักประดาน้ำจะใช้การค้นหาแบบรวมกลุ่มประกอบกับใช้เรืออวนลากแต่ยังไม่พบจึงต้องยกเลิกภารกิจ
ข่าวน่าสนใจ:
ล่าสุดเมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (12 พ.ค. 64 ) ที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี พลตำรวจเอกสุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พลตำรวจตรีสาธิต พลพินิจ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงความคืบหน้าของคดีว่า ขณะนี้ทางตำรวจได้ออกหมายจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนคือ 1. นายสุรัตน์ เศวตศิลป์ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30 หมู่ที่ 2 ตำบลตะกรบ อำเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี 2. นายคำธร หรือแน็ค เศวตศิลป์ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ 7 ตำบลคันธุลี จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3. นายสุรชัย หรือตาชัย คงสุข อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57 หมู่ที่ 4 ตำบลคันธุลีอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 4. นายเกรียงไกร หรือเป็ด หรือเพชร แสงสง่า อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28 หมู่ที่ 4 ตำบลคันธุลี อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 5. นายเจริญ หรือพร คะเชนทอง อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72/2 หมู่ที่ 2 ตำบลตะกรบ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี 6. นายจิรายุทธ หรือโจ้ เศวตศิลป์ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 152/9 หมู่ที่ 1 ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี 7. นายทิวากร หรือบี เลื่องสุนทร อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 111 หมู่ที่ 2 ตำบลตะกรบ อำเภอ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้ง 7 คนแจ้งข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ,ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุอันควรและจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ,ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยมีหรือใช้อาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมและร่วมกันลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย” ตามประมวลกฎหมายมาตรา 199 ,288 (4 ) , 334 335 (1) (7) ,336 ทวี ,371 , 83 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน มาตรา 7, 8 , 72 , 72 ทวิ
สำหรับผู้ต้องหากลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่โหดเหี้ยมเคยก่อเหตุคดีในพื้นที่ และต่างจังหวัดหลายคดีและยังเชื่อมโยงกับยาเสพติดในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย และก่อเหตุอาชญากรรมใน จ.นครศรีธรรมราชส่วนมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องความขัดแย้ง 2 ตระกูลและผลประโยชน์ทางทะเล เรื่องการทำประมง ซึ่งฝ่ายนายโกศล ผู้ตายได้มีการกระทบกระทั่งกันในเรื่องของการจอดเรือเพื่อหาหอยกลางทะเล จึงได้มีการโทรศัพท์ให้กลุ่มนายโกศล ออกมาเคลียร์ ปัญหากัน ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุได้เตรียมการสังหารไว้แล้ว ก่อนที่จะช่วยกันนำศพอำพราง
โดยแนวทางสืบสวนยังพบประเด็นทางการเมืองท้องถิ่น ที่ฝั่งผู้ก่อเหตุเตรียมที่จะลงสมัครเลือกการเมืองท้องถิ่นแข่งขันกับฝั่งผู้ตายจากการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานทราบอีกว่านายสุรัตน์ และพวกเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าคนตายมาหลายคดี รวมไปถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุได้แล้ว 4 ราย และยังคงติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา 3 คนที่ยังหลบหนี คือนายสุรัตน์ เศวตศิลป์ หัวหน้าทีม นายคำธร หรือแน็ค เศวตศิลป์ และนายสุรชัย หรือตาชัย คงสุข ที่ยังหลบหนีอยู่มาดำเนินคดี ซึ่งที่ผ่านมามีพฤติกรรมอุกอาจและไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ส่วนทางคดีเชื่อได้ว่าพยานหลักฐานแน่นหนาแม้ว่าจะยังไม่พบศพและยังค้นหาศพต่อไป แต่มีอุปสรรคในเรื่องของสภาวะอากาศและน้ำทะเลที่มีความขุ่น ส่วนเรื่องของการดำเนินคดี เจ้าหน้าที่มีความมั่นใจสามารถดำเนินคดีได้เพราะมีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อม และพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่สามารถดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ ถ้าแนวทางการสืบสวนพบว่ามีผู้ที่ร่วมเกี่ยวข้องในการก่อเหตุเพิ่มก็จะขออนุมัติหมายจับเพิ่มเติมเป็นราย ๆ ไป
ส่วนข้อถามที่ว่าคนมีสีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ทางตำรวจกำลังตรวจสอบแต่ยืนยันดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาเพราะทางพลตำรวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก.
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: