นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ให้ตรวจสอบพนักงานสอบสวน สภ. ตำรวจสำโรงใต้ ประพฤติมิชอบทำหลักฐานอันเป็นเท็จยื่นต่อศาล ทำให้ถูกออกหมายจับ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 1 มิถุนายน 2564 นาย อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม กับ พล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่พนักงานสอบสวน สภ.สำโรงใต้ สมุทรปราการ ได้ทำหลักฐานอันเป็นเท็จ ไปยื่นต่อศาลว่าตนไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แล้วก็บ้านรื้อถอนไปแล้วไม่สามารถส่งหมายได้
ข่าวน่าสนใจ:
- ภาคธุรกิจเอกชนหอการค้าชัยภูมิชี้แนวทางรัฐบาลพลิกวิกฤตเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตโลก!
- ‼️เลือดหนึ่งหยด..มีค่า-ต่อลมหายใจให้ผู้ป่วย,บาดเจ็บ‼️
- "เลยดั้น" แค่มุมภาพเดียว กลายเป็นไวรัล ดึงดูด นทท.แห่เช็คอินถ่ายภาพ อ.น้ำหนาวเตรียมดันเป็นซอฟพาวเวอร์
- หนุ่มวัย 21 นัดเคลียร์กับรุ่นน้องวัย 16 แต่คุยกันไม่ลงตัวเกิดชกต่อยกัน ก่อนชักมีดแทงรุ่นน้องดับ
นาย อัจฉริยะ ได้กล่าวว่า จากกรณีที่ตนถูกศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกหมายจับ เมื่อวานนี้ โดยพนักงานสอบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากตนไม่ได้ไปตามหมายเรียก 2 ครั้ง จึงไปขออนุมัติหมายจับตน ตนขอชี้แจงว่า ข้อหาที่มีการแจ้งตน คือ ดูหมิ่นศาล กับ พรบ.คอมพิวเตอร์ อันนี้อยู่ขั้นตอนระหว่างการพิจารณา แต่ตนอยากให้เป็นการทำงานเป็นกระบวนการ ในการออกหมายจับตน โดยมิชอบ ตนได้รับหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้ไปพบพนักงานคือวันที่ 4 มิถุนายน เวลา 10.00 น. ให้ไปพบ พ.ต.ท.จักร์พันธ์ ในข้อหาดูหมิ่น ซึ่งยังอีกตั้ง 3 วัน ที่ตนต้องไปพบพนักงานสอบสวน คือ พ.ต.ท.จักร์พันธ์ นี้คือหมายที่ตนได้รับแล้ว แต่ตนไม่พูดเพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่ตนต้องไปพบพนักงานสอบสวน ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.จักร์พันธ์ ก็ได้มีการพูดคุยกับตนมาโดยตลอด ตนได้นำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม พ.ต.ท.จักร์พันธ์ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม โดยได้ระบุชัดเจนว่าเอกสารฉบับนี้ตนได้รับทราบแล้วและเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การ ในการรับทราบข้อกล่าวหาไปแล้ว อันนี้เป็นเอกสารที่ตนได้ให้กับทาง พ.ต.ท.จักร์พันธ์ ไป
เนื่องจากส่งหมายเรียกผู้ต้องหาตาม ป.วิอาญา ไม่ได้ เนื่องจากบ้านเลขที่ 182/1 หมู่ 7 ต.สำโรงกลาง อ.พระประแดง ถูกรื้อถอนไปแล้ว ไม่มีตัวอาคาร จึงไม่สามารถส่งหมายเรียกได้ ตนอยากเรียนพี่น้องประชนว่า บ้านเลขที่ดังกล่าวตนอยู่มา 28 ปี ซึ่งอยู่ภายในซอยข้าวหมูแดง อันนี้คือบ้านที่ตนอาศัยอยู่ และมีการจ่ายค่าไฟค่าน้ำทุกเดือน สำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนตน ก็อยู่ภูมิลำเนานี้ ตามบัตรประชาขน เอกสารของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ทุกฉบับ ที่เอามาวันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง จากพันกว่าฉบับ ระบุคือ 182/1 หมู่ 7 ต.สำโรงกลาง ร่วมถึงหนังสือของศาลอาญา ทุกหน่วยงานที่ส่งมาที่บ้านเลขที่เดียวกัน ตนได้รับทุกฉบับ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือรัฐสภา ประชาชนร้องเรียนมา ทุกฉบับคือตนได้รับหมด นอกจากนี้เอกสารต่าง ๆ ของหน่วยงานของอัยการสูงสุด ตำรวจภูธร ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ตนก็ได้รับมาโดยตลอด
ประเด็นต่อมาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ส่งคำฟ้อง ส่งหมายมาให้ตนที่ 182/1 หมู่ 7 ตนได้รับคำฟ้องโดยเฉพาะของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลายคดี ตนได้รับทุกฉบับ ไม่ว่าจะเป็นศาลไหนเราก็ได้รับหมด ดังนั้นบ้านเลขที่หลังนี้ยังอยู่ ยังไม่ได้มีการรื้อถอน ตามที่พนักงานสอบสวน สภ.สำโรงใต้ และ พนักงานสอบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้ทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ในการยื่นศาลออกหมายจับตน ซึ่งระบุว่าเขาไม่สามารถส่งหมายให้ตนได้เนื่องจากบ้านถูกรื้อถอนไปแล้ว
เมื่อวาน พ.ต.ท.จักร์พันธ์ ได้โทรมาหาตนจากศาลพระนครศรีอยุธยา ว่าศาลไม่อนุมัติออกหมายจับให้ เนื่องจากตนเป็นคนที่มีชื่อเสียง และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และก็สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา และเป็นคนสาธารณะ ตนก็บอกกลับไปว่า ตนทราบแล้วว่า 1.หนังสือที่ตนแจ้งไปขอความเป็นธรรมวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ต.ท.จักร์พันธ์ รับทราบแล้ว 2.หมายเรียกตนได้รับแล้ว 4 มิถุนายน ถึงจะไปพบพนักงานสอบสวน พ.ต.ท.จักร์พันธ์ ก็ได้วางสายไป จนกระทั่งมาทราบพลายหลังว่า พ.ต.ท.จักร์พันธ์ ได้นำหลักฐานอันเป็นเท็จ ไปยื่นต่อศาลว่า ว่าตนไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แล้วก็บ้านรื้อถอนไปแล้วไม่สามารถส่งหมายได้
นายสุกิจ ได้ระบุในหนังสือร้องนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ผู้กำกับพระนครศรีอยุธยา ได้สั่งให้ พ.ต.ท.จักร์พันธ์ ไปสอบเทศบาลสำโรงใต้ ว่าบ้านตนมีหรือไม่ แต่ พ.ต.ท.จักร์พันธ์ กลับไม่ไปสอบตามที่คำสั่งของของคณะกรรมการ ซึ่งคดีของตนนี้มีคณะกรรมการอยู่ทั้งหมด 10 คน เมื่อ พ.ต.ท.จักร์พันธ์ ถ้าได้สอบเทศบาลสำโรงใต้ ก็จะพบว่าบ้านตนไม่ได้มีการรื้อถอนแต่อย่างใด ยังมีสถานะเป็นบ้านที่อยู่อาศัยเหมือนเดิม ตามที่มีการทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จกันเกิดขึ้น ประเด็นคือตนได้รับหมายนัดไปวันที่ 4 มิถุนายน เป็นหลักฐานสำคัญว่า การไปหลอกศาลว่าตนไม่ได้รับหมายเรียกมันเป็นความเท็จทั้งสิ้น การออกหมายจับตนมาจากการที่ตนไปร้องเรียนรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 2 คน ในเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่น ในการตั้งชุดเฉพาะกิจ 1.รองผู้บัญชาการคนแรก คือ ไปตั้งชุดเฉพาะกิจในการรีดไถบริษัทที่ทำเกี่ยวกับล้อแม็กซ์ ซึ่งได้เงินไปมูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท 2.รองผู้บัญชาการอีกคนหนึ่ง คือ ไปตั้งชุดเฉพาะกิจลิขสิทธิ์ก็ไปรีดไถเงินประชาชน ได้เงินไปมากกว่า 10 ล้านบาท เรื่องนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ทราบจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกชุดเฉพาะกิจทั้งหมด จึงเป็นเหตุที่ ทำให้ตำรวจภูธรภาค 1 เสียหน้า และก็เสียผลประโยชน์ จึงมีการทำกันเป็นขบวนการในการออกหมายจับตนในครั้งนี้โดยการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
เรื่องนี้ตนอยากจะกราบเรียบประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอาญาภาค 1 และก็หัวหน้าศาลพระนครศรีอยุธยา ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับตนบ้าง สิ่งที่ตนได้รับผลกระทบก็คือ ลูกสาวตน 4 คน อับอายเพื่อนมาก ที่พ่อถูกออกหมายจับ ความรู้สึกของลูกตนคือความเจ็บปวด ที่ตนทำความดีเพื่อสั่งคม มาตลอดเวลา 9-10 ปี แล้ววันตนถูกออกหมายจับโดยถูกกลั่นแกล้ง จากอำนาจรัฐ ก็คืออำนาจพนักงานสอบสวน โดยไม่เป็นธรรม จึงขอความเมตตา จาก พี่ ๆ สื่อมวลชน ประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอาญาภาค 1 และก็หัวหน้าศาลพระนครศรีอยุธยา ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับตนบ้าง
ปัจจุบันตนไม่มีเฟตบุ๊คสิ่งที่ทีวีช่องหนึ่งได้นำไปออกอากาศว่าตนท้าทายศาล ตนจะขอเรียนว่าเฟตบุ๊คของชมรม ถูกอำนาจรัฐปิดไปแล้ว พอเราเปิดใหม่ก็ถูกปิด ตนเลยตัดสินใจปิดชมรมเลย
ด้าน พล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ ได้กล่าวว่า ในวันนี้คุณอัจฉริยะ ได้มายื่นหนังสือร้องเรียนให้ตรวจสอบพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงใต้ เกี่ยวกับเรื่องการส่งหมาย ซึ่งเป็นหมายเรียกของพนักงานสอบสวนของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และมีการรายงานว่าไม่พบบ้านตามที่ระบุ ซึ่งในข้อเท็จจริงทางตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ก็จะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนว่ามีพนักงานสอบสวนหรือมีผู้ใดที่มีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบหรือมีความบกพร่องอย่างไรหรือไม่ ก็จะได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าเป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจของจังหวัดสมุทรปราการหรือไม่ ถ้าเกิดเป็นความบกพร่องก็คงจะต้องมีมาตรการลงทัณฑ์ต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: