ตำรวจระนอง เปิดโครงการ “หมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์
ระนอง- พ.ต.อ. พรพรหม จักษุรักษ์ ผกก.สภ.เมืองระนอง เป็นประธานเปิดโครงการ หมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ตำรวจภูธรภาค8 ณ บริเวณลานด้านหน้าอาคาร สถานีตำรวจภูธรเมืองระนอง เพื่อเดินรณรงค์ตามโครงการ สวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน
ด้วยตำรวจภูธรภาค 8 ได้จัดทำโครงการ หมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งเป็นมาตรการเชิงรุกด้านการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมทั้งใช้มาตรการด้านการปกครองควบคู่ โดยมุ่งเน้นในเรื่องผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย เมื่อถูกจับแล้วจะไม่อนุญาตให้ผู้นั้นขับขี่ หรือโดยสารรถต่อไป หากยังไม่มีการสวมหมวกนิรภัย แม้จะมีการจ่ายค่าปรับแล้วก็ตาม
จนกว่าจะจัดหาหมวกนิรภัยมาสวมใส่ให้เรียบร้อยทั้งคนขับและผู้โดยสาร เพื่อเป็นการรณรงค์ส่งเสริมวินัยการจราจรให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารสวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง ทั้งนี้ตำรวจภูธรภาค 8 กำหนดให้สถานีตำรวจทุกแห่งของพื้นที่ 7 จังหวัดในสังกัด
ทำการเปิดโครงการในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 พร้อมกัน และทำการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นการเริ่มดำเนินการในระยะที่ 1 แล้วให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 เป็นการดำเนินการในระยะที่ 2 ต่อไป
โดยในการดำเนินการในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐประกอบด้วยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระนอง ขนส่งจังหวัดระนอง หน่วยงานท้องถิ่นประกอบด้วยเทศบาลเมืองระนอง เทศบาลเมืองบางริ้น เทศบาลตำบลบางนอน โรงเรียนและสถานศึกษา เข้าร่วมเดินรณรงค์ โดยเป้าประสงค์สำคัญคือการนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน
เป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาอุบัติเหตุทางถนนคร่าชีวิตคนไทยเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ปัจจุบันประเทศไยและหลายๆ ประเทศ กำลังประสบปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ปัญหาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรยังคงเพิ่มขึ้นมากเช่นเดิม โดยเฉพาะผู้ใช้จักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการเดินทางในชีวิตประจำวัน
ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ คือลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งสถานีตำรวจภูธรเมืองระนอง เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบและดำเนินงาน โดยจะต้องทำการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังในระยะต่อไป
