๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ พลายสีดอแดง ดาวดังแห่งป่าเขาสอยดาว ล้มคารั้วไฟฟ้าที่ล้อมสวนผลไม้
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มีข่าวว่าช้างถูกไฟฟ้าช็อตจนล้ม ๑ ตัว ที่บ้านวังใหม่ หมู่ ๑๗ ต.ท่าวังช้าง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มีข่าวโขลงช้างป่าจากอุทยานแห่งชาติทับลาน นับสิบตัวบุกลงทำลายสวนมะพร้าวน้ำหอมในเขต อ.ครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ได้รับความเสียหายนับร้อยต้น
ก่อนหน้านี้ช้างบุญช่วยพังบ้านชาวบ้านที่ป่าละอู อ.หัวหิน จ.ประจวบฯจนโด่งดังมาแล้ว และข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการกระทบกระทั่งกันระหว่างช้างและคนจะยังมีมากอีกเรื่อยๆ
ข่าวน่าสนใจ:
- ปิดตำนานนักเขียน "ตรี อภิรุม" ศิลปินแห่งชาติฯ เจ้าของผลงาน "นาคี"
- ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีฯ จัดกิจกรรม"วันกิมจิ"เผยแพร่การทำกิมจิ ผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 700 คน
- ตรัง จัดใหญ่ 12 วัน งานฉลองรัฐธรรมนูญและงานกาชาดจ.ตรัง 4-15 ธ.ค.นี้ รีแบร์นใหม่! ย้อนยุคงานเหลิมแต่แรก แสดงบินโดรนพิธีเปิด วธ.ทุ่ม 3.4 ล้าน…
- กทม. ร่วม"ฟูกูโอกะ" เปิดงาน "Fukuoka Fair" ฉลอง 18 ปีเมืองพี่เมืองน้อง
ช้างล้นป่า….เรื่องที่ต้องยอมรับกันก่อน
ข้อมูลจากสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รายงานสถานการณ์ช้างป่าในประเทศไทยในปี ๒๕๖๔ ว่ามีอาศัยในป่าธรรมชาติ ประมาณ ๓,๑๖๘-๓,๔๔๐ ตัว ในพื้นที่อนุรักษ์ทั้งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ จำนวน ๖๙ แห่ง ที่พบช้างได้ตั้งแต่น้อยกว่า ๑๐ ตัว ไปจนถึง ๒๐๐-๓๐๐ ตัว มีพื้นที่เป็นแหล่งอาศัยของช้างป่ารวมกันทั้งสิ้น ๕๒,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร โดนกลุ่มป่าที่มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ประชากรช้างป่าคือ กลุ่มป่าตะวันตก คาดว่ามีช้างป่าประมาณ ๖๔๒-๗๓๔ ตัว กลุ่มป่าภูเขียว-น้ำหนาว ราว ๔๙๐ ตัว กลุ่มป่าแก่งกระจานราว ๔๘๗-๕๐๐ ตัว กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ๕๓๓-๕๘๖ ตัว และกลุ่มป่าตะวันออก ๔๒๓ ตัว ซึ่งแต่ละพื้นที่ ช้างอยู่ในสภาพที่ “ล้น”
สมปอง ทองศรีเข้ม ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ให้เหตุผลของการที่ช้างล้นป่าเพราะว่าทั้งช้างที่จะถูกสัตว์ผู้ล่าควบคุมจำนวนตามระบบนิเวศนั้นมีน้อย อีกทั้งการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ(Smart Partrol) นั้นทำงานได้ผล ป้องปรามการลักลอบล่าช้างได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ การลดจำนวนของช้างจากการล่าจึงแทบไม่มี ช้างจึงเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่สภาวะช้างล้นป่าดังกล่าว ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่แค่ช้างที่ล้นพื้นที่ แต่กระทิงก็เริ่มจะเกิดปัญหาล้นพื้นที่แล้วเช่นกัน
ปัญหาในการอนุรักษ์และจัดการช้างป่า
ช้างที่ออกจากป่านั้นมาจากหลายสาเหตุ ปัญหาหลักๆ ก็คือการที่พื้นที่ป่าที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของช้างนั้นลดลง ถูกบุกบุก แปรสภาพเป็นชุมชนและที่ทำกิน บ้านเรือนและชุมชนเข้ามาอยู่จนชิดติดป่าที่ช้างอยู่อาศัย ช้างป่าถูกจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายฝูง และต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการหากิน ส่งผลต่อการดำรงชีวิต และโอกาสในการเคลื่อนย้ายเพื่อแลกเปลี่ยนพันธุกรรมกับช้างป่าโขลงอื่นนั้นแทบไม่เกิดขึ้น
ปัจจัยที่สองคือความอุดมสมบูรณ์ของปัจจัยในการดำรงชีวิตของช้างป่าลดลงและไม่เพียงพอ ส่งผลให้ช้างต้องออกมานอกพื้นที่อนุรักษ์ไปหากินพืชผลทางการเกษตรของชุมชนแทน
ปัญหาระหว่างคนกับช้างป่า ซึ่งในหลายพื้นที่ช้างป่าอยู่ในสภาพภูมิประเทศและสภาพทางนิเวศที่มีความเหมะสมน้อย ประกอบกับที่ราษฎรมามีพื้นที่ทำกินอยู่ติดชายป่า และมักปลูกพืชผลที่เป็นอาหารช้าง จึงยิ่งทำให้ช้างออกมานอกพื้นที่ และเข้าหากินในพื้นที่เกษตรกรรมเหล่านั้น ในบรรดา ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีช้างป่า ๖๙ แห่ง มีพื้นที่ที่มีปัญหาระหว่างคนกับช้างในกรณีนี้ถึง ๔๑ แห่ง ในจำนวนนี้มีปัญหาวิกฤตถึง ๒๓ แห่ง
และปัญหาข้อสุดท้ายคือความไม่สอดคล้องของช้างกับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ซึ่งประชากรช้างในภาพรวมมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น แต่มีพื้นที่อยู่อาศัยอยู่ในราว ๕๒,๐๐๐ ตร.กม. หรือราว ๓๐% ของพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทย
ช้างตะวันออก….ปัญหาไม่ใช่น้อย
ผืนป่าตะวันออกที่มีพื้นที่ อช.เขาสิบห้าชั้น อช. เขาชะเมา-เขาวง อช.เขาคิชกูฏ อช. น้ำตกพลิ้ว อช.น้ำตกคลองแก้ว อช.หมู่เกาะช้าง ขสป.เขาอ่างฤาไนย ขสป.คลองเครือหวาย ขสป.เขาสอยดาว แต่ที่มีปัญหาเรื่องช้างป่าดูเหมือนจะเป็นกลุ่ม ขสป.เขาอ่างฤาไนย อช.เขาสิบห้าชั้น ขสป.สอยดาว อช.ขาชะเมา-เขาวง อช.เขาคิชกูฎ อช.น้ำตกคลองแก้ว ขสป.คลองเครือหวาย ซึ่งเป็นกลุ่มป่าที่มีปัญหาเรื่องช้างออกนอกพื้นที่มากที่สุด (รองลงมาก็คือช้างจากกลุ่มป่าแก่งกระจาน) และในกลุ่มป่าตะวันออกนี้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน แทบจะคือต้นทางของช้างที่ออกไปนอกพื้นที่มากที่สุด
ที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทุ่มงบประมาณ รวมทั้งมีหน่วยงานอื่นๆมาช่วยทั้งจังหวัด และ อบจ.แต่ละแห่งก็ออกมาช่วยกัน ทั้งการพยายามสร้างเครื่องกีดขวาง ทั้งการสร้างรั้วไฟฟ้า รั้วกั้นช้าง คูกั้นช้าง หรือการคิดหาวิธีการใหม่ๆ อย่างการสร้างกำแพงไผ่ป่า แต่ดูเหมือนว่า ทุกวิธีการจะแก้ปัญหาได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่นาน ช้างก็จะหาวิธีการออกมาอีกจนได้ ซึ่งขณะนี้มีการสร้างรั้วกั้นช้างที่เป็นเสาคอนกรีตที่มั่นคง แข็งแรง สร้างในหลายพื้นที่ อย่างที่ป่าละอู ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นต้น
สิ่งที่ทางกรมอุทยานฯ ทำมาตลอด ก็คือ การสร้างแหล่งอาหาร แหล่งน้ำให้เพียงพอ ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนเอง มีการสร้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ในหลายพื้นที่ แม้กระทั่งการสูบน้ำบาดาลมาเติมในบ่อน้ำบนผิวดินโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อไม้ให้น้ำขาดแคลนในฤดูแล้ง หรือการสร้างแปลงหญ้าให้เพียงพอ สิ่งเหล่านี้ ทั้งเป็นการบังคับและดึงดูดช้างให้อยู่ในพื้นที่ทั้งสิ้น เป็นที่น่าสังเกตว่าช้างจากป่าธรรมชาติทั้งหลายนั้นแทบไม่เห็นช้างที่มีร่างกายผ่ายผอมเลย ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องยืนยันได้หนึ่งอย่างว่าแหล่งอาหาร แหล่งน้ำในธรรมชาตินั้นไม่ได้ขาดแคลนแต่อย่างใด
แต่ที่ช้างยังออกจากป่า….!
นายวีระพงศ์ โคระวัตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน บอกว่า พืชผลทางการเกษตรอื่นๆ อ้อย สับปะรด มะพร้าว นี้เอง ที่ดึงดูดให้ช้างออกมานอกพื้นที่แม้ว่าอาหารและน้ำในพื้นที่จะไม่ขาดแคลนก็ตาม พฤติกรรม “การตั้งด่าน” ของช้าง ในฤดูขนย้ายอ้อยในถนนสายหนองคอก-คลองหาด จึงเป็นที่กล่าวขวัญถึง และมีพฤติกรรมแบบนี้ทุกปีในช่วงฤดูรถบรรทุกอ้อย
ช้างอด…หรือแค่หาอะไรใหม่ๆ กิน เหมือนคนเราที่หาอาหารหลากหลายมาบริโภค
ศูนย์แจ้งภัย และอาสาสมัคร เครื่องมือเฝ้าระวังช้างป่า
กรมอุทยานฯ ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนและโครงการหมู่บ้านคชานุรักษ์ในการสนับสนุนอุปกรณ์แจ้งเมื่อช้างออกมานอกพื้นที่ โดยการติดกล้องดักถ่ายไว้ตามเส้นทางที่ช้างมักจะออกมาจากป่า เมื่อมีช้างออกมานอกพื้นที่ กล้องจะส่งสัญญาณเข้าไปที่ศูนย์ซึ่งตั้งอยู่ในที่ทำการพื้นที่อนุรักษ์ต่างๆ เมื่อส่งสัญญาณเข้าไปที่ศูนย์ ทางศูนย์ก็จะแข้งไปยังชุมชน เพื่อให้ประชาชนเลี่ยงการออกเผชิญหน้ากับช้างซึ่งอาจเกิดความสูญเสียขึ้นได้ และแจ้งไปยังหน่วยเฝ้าระวัง ออกมาต้อนช้างเข้าไปในป่า ซึ่งหน่วยเฝ้าระวังนี้ ในพื้นที่ป่าตะวันออก จะเป็นการผสมผสานกันทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อาสาสมัครที่เป็นชาวบ้าน ออกมารวมตัวกันเมื่อเป็นอาสาแจ้งภัยและต้อนช้างป่าเข้าพื้นที่ป่า โดยพื้นที่ปาตะวันออกจะมีอยู่นับสบชุด กระจายกันอยู่โดยทั่ว และอาจมีการระดมกำลังมาช่วยกันได้ด้วย ซึ่งอาสาสมัครเหล่านี้ออกมาทำหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินของตัวเองและชุมชน โดยผ่านการอบรมจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก่อนออกปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ประชาชนจะได้ตะหนักรู้ถึงแก่นของปัญหา เห็นปัญหาและแนวทางแก่ไขร่วมมือกัน ไม่ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของภาคราชการอย่างเดียว
โครงการพัชรสุธาคนุชานุรักษ์….โครงการเพื่อมาแก้ปัญหาช้าง ในป่าตะวันออก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชบายว่า “ช้างเป็นสัตว์คู่กับประเทศไทยเป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นมงคล ต้องดูแลรักษา และปฎิบัติให้ช้างป่าอยู่กับชุมชนอยู่กับคนได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยทั้งคนและช้าง” จากพระบรมราโชบายนี้ จึงนำมาสู่หนทางการแก้ไขปัญหาระหว่างคนกับช้างให้อยู่ด้วยกันได้ โดยมี “โครงการพัชรสุธาคนุชานุรักษ์” อันเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ทรงเป็นประธานที่ปรึกษาโครงการฯ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นประธานคณะกรรมการโครงการฯ โดยที่ตั้งศูนย์ดำเนินการอยู่ในบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง ซึ่งโครงการให้การสนับสนุนทุกอย่างในการแก้ไขปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นโดย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในฐานะองค์ประธานกรรมการ ได้เสด็จมาตามผลงานการดำเนินงานในพื้นที่หลายครั้ง ทั้งยังมีการจัดตั้ง “หมู่บ้านคชานุรักษ์” เพื่อให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ที่ช้างอาจออกมานอกพื้นที่ ทำความเข้าใจถึงความสำคัญและจำเป็น เรียนรู้พฤติกรรมของช้าง ทั้งหาทางออกในการประกอบอาชีพให้มีรายได้ที่เพียงพอ และจัดตั้ง “กองทุนคชานุรักษ์” เพื่อให้ชุมชนมีกองทุนสำรอง และแต่ละชุมชนสามารถวางแผน เพื่อบริหารจัดการกองทุนได้ด้วยตนเอง รวมทั้งสามารถทำกิจกรรมเพื่อหารายได้เข้ากองทุน อันเป็นการบริหารจัดการชุมชนเพื่อให้คนกับช้างอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและปลอดภัย ตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการแก้ปัญหาระหว่างคนและช้างอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นกำลังสำคัญที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาช้างป่าอย่างมาก
อุปสรรคสำคัญในการแก้ปัญหาช้างกับคน
ในขณะที่การป้องกันดูแลพื้นที่ป่าและสัตว์ป่า ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การล่าสัตว์ลดน้อยลง ปริมาณสัตว์ป่าเพิ่มมากขึ้น ปัญหาระหว่างคนและสัตว์ป่าเพิ่มมากขึ้น เพราะพื้นที่เท่าเดิม สัตว์ป่ามากขึ้น การออกนอกพื้นที่ก็มากขึ้น แม้จะมี แผนงานทั้งหลายที่วางแผนไว้เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวให้ดีเลิศอย่างไร แต่งบประมาณก็ถูกตัดลงเรื่อย ๆ ในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ของบประมาณไป ๒๗๒,๑๙๖,๗๐๐บาท ได้รับการจัดสรรมา ๒๐๒,๓๓๔,๖๐๐ บาท คิดเป็น ๗๔.๓ % ปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ขอไป ๓๗๕,๓๖๔,๘๐๐ บาท ได้รับการจัดสรร ๙๙,๓๘๘,๑๐๐ คิดเป็น ๒๖.๔ % ปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ขอไป ๖๗๗,๖๘๘,๓๐๐ บาท ได้รับการจัดสรร ๗๘,๘๔๐,๒๐๐ คิดเป็น ๑๒ % และในปี งบประมาณ ๒๕๖๕ ขอรับการจัดสรรไป ๓๙๑,๗๑๕,๗๐๐ ได้รับการจัดสรร ๑๑๓,๘๓๔,๓๐๐ หรือคิดเป็น ๒๙ %
ปัญหางบประมาณที่ถูกตัด ทำให้แผนงานทั้งหลายที่วางไว้ในการแก้ปัญหา ช่วยทำได้ครบแผน เมื่องบประมาณไม่เป็นตามนั้น การดำเนินงานก็ทำได้เพียงบางส่วน ปัญหาจึงยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มคนที่ตัดงบประมาณไม่ได้มามีส่วนในการแก้ปัญหา ไม่ได้มีบ้านเรือนหรือที่ทำกินที่สุ่มเสี่ยงกับช้างจะลงมาทำลายพืชผล จึงอาจไม่เห็นความสำคัญ ไม่เห็นถึงความเดือนร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งปัญหาข้อกฎหมายอีกหลายเงื่อนไขที่ยังคงมีความคลุมเครือ ทำให้ไม่สามารถชดเชยหรือช่วยเหลือชาวบ้านได้เต็มที่ ปัญหาช้างป่าและคน จึงไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยให้กรมอุทยานฯดำเนินการเพียงอย่างเดียว หากแต่จะได้รับความร่วมมือที่มากกว่านี้
“ช้างป่า ไม่ใช่ช้างของกรมอุทยานฯ แต่เป็นช้างของประเทศ การแก้ไขปัญหา แม้กรมอุทยานจะมีหน้าที่ แต่หน่วยงานภาครัฐมีมีอำนาจมากกว่า ต้องให้ความร่วมมือ ไม่เช่นนั้นปัญหามันจะแก้ไม่จบ “
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกล่าวทิ้งท้าย…..
……………………………..
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: