กรุงเทพฯ – หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เดินหน้าเร่งแก้ปัญหาลดความเหลื่อมล้ำระดับพื้นที่ จับมือ 99 สถาบันการศึกษา สร้างกลุ่มอาชีพแล้ว 5,600 กลุ่ม พัฒนาชีวิตคนจนแล้ว 6 แสนคน
นายจิตเกษม พรประพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ทั้งทางเศรษฐกิจและการศึกษา จากผลของโควิด-19 จากข้อมูลในไตรมาส 4 ปี 2564 มีผู้ว่างงานและเสมือนว่างงาน 3.2 ล้านคน ว่างงานเกินหนึ่งปีจำนวน 1.6 แสนคน และผู้ไม่เคยมีงานทำ 2.7 แสนคน โดยยังไม่นับรวมแรงงานที่ย้ายถิ่นกลับต่างจังหวัดมากถึง 1.7 ล้านคน
ขณะที่โควิด-19 ยังคงเป็นปัญหาของโลก ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ทำให้ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศเริ่มมีการฟื้นตัว แต่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวเต็มที่ได้ในช่วงปลายปี 2566
สภาพการณ์ต่าง ๆ กดดันให้ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เพราะนอกจากหนี้ครัวเรือนจะขึ้นถึงระดับ 89.3% ของจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) เมื่อสิ้นปีที่แล้ว โควิดยังทำให้มีความเสี่ยงที่นักเรียน 1.9 ล้านคน จะหลุดออกจากระบบการศึกษาเพราะความยากจน
ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธปท. กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาว่า ควรดำเนินการในแบบ ‘One Thailand’ เพื่อบูรณาการทรัพยากร บุคลากรและความรู้ ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในแต่ละพื้นที่ โดยสร้างเป็นระบบการทำงานร่วมกันของภาครัฐ เอกชน และชุมชน รวมถึงจะต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและแรงงาน โดยใช้องค์ความรู้ท้องถิ่นมาเพิ่มศักยภาพของคน ส่งเสริมเศรษฐกิจผู้สูงวัย พัฒนาเศรษฐกิจใหม่บนฐานทุนทรัพยากร Bio-Circular-Green และการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งในภาคการค้า อุตสาหกรรม เกษตรและท่องเที่ยว
ข่าวน่าสนใจ:
ด้านนายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. เปิดเผยว่า บพท.ตระหนักเป็นอย่างดีต่อความสำคัญของการพัฒนาและแก้ปัญหาจากพื้นที่ จึงร่วมกับสถาบันการศึกษา 99 แห่งทั่วประเทศ ร่วมคิด ร่วมทำกับชุมชน ในการแก้ปัญหาปัจจุบันพร้อมกับสร้างรากฐานเพื่อการพัฒนาในอนาคต ขจัดความเหลี่อมล้ำ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่ฝังรากลึกในไทยมายาวนาน ด้วยการใช้ความรู้และการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ซึ่ง บพท.พิสูจน์แล้วว่าได้ผลน่าพอใจ เพราะมีการทำงานครอบคลุมทั้งระดับครัวเรือน ชุมชนและระดับเมือง
ทั้งนี้ บพท.ได้ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อพัฒนาระดับพื้นที่ โดยยึดโยงกับยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ด้าน คือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาคนและกลไกจากฐานทุนทรัพยากรพื้นถิ่นและทุนทางวัฒนธรรม, ยุทธศาสตร์พัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ และยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองน่าอยู่และเมืองแห่งการเรียนรู้
ผลจากการดำเนินงานของ บพท. ที่ร่วมกับสถาบันการศึกษา ราชการและชุมชน ในด้านเศรษฐกิจฐานรากทำให้ชุมชนเกิดความรู้และเข้มแข็ง เกิดการพัฒนากลุ่มอาชีพได้มากถึง 5,600 กลุ่ม เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเพื่อให้เขาสามารถเริ่มต้นพัฒนาตนเองได้ มีความรู้ใหม่ และมีนวัตกร หรือผู้นำท้องถิ่นที่จะทำให้ชุมชนของเขายั่งยืนต่อไปในอนาคต
งานวิจัยที่ บพท.สนับสนุน ยังสามารถค้นพบคนยากจนที่หลุดจากระบบความช่วยเหลือของรัฐกว่าแปดแสนคนใน 20 จังหวัด ซึ่งได้รับความช่วยเหลือไปแล้วกว่า 6 แสนคน
ขณะที่การพัฒนาในระดับเมือง ได้ส่งเสริมการรวมตัวในพื้นที่ขึ้นเป็นบริษัทพัฒนาเมืองขึ้นแล้ว 19 แห่ง เป็นกลไกการพัฒนาที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมวางแนวทางอนาคตของตนเอง เกิดเมืองแห่งการเรียนรู้ 18 พื้นที่และเกิดกลไกบริหารจัดการเชิงพื้นที่ 61 กลไก
ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวต่อว่า จากประสบการณ์ของ บพท. พบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้นได้จริง ๆ ถ้าเริ่มจากกระบวนการมองปัญหาและเริ่มการแก้ไขจากพื้นที่ของปัญหานั้น ๆ เพราะเจ้าของปัญหาลงมือทำเอง โดยมีความรู้และพี่เลี้ยงจากสถาบันการศึกษา
สำหรับแนวทางในอนาคตของ บพท.นั้น จะเป็นการต่อยอดกระบวนการทำงานดังกล่าว ให้ตอบความต้องการของประเทศมากยิ่งขึ้น เช่น ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อยกระดับสมุนไพรไทย งานวิจัยการสร้างเศรษฐกิจใหม่บนฐานทรัพยากรอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“ทุนวิจัยในอนาคตจะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เชื่อมโยงการยกระดับชุมชนให้มาช่วยยกศักยภาพของประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่มีโอกาสสูง เช่น การที่ไทยเสียดุลนำเข้าผลิตภัณฑ์สมุนไพรนับหมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งที่เรามีสมุนไพรอยู่ทั่วประเทศ งานวิจัยจะเข้ามาช่วยชุมชน สังคมและประเทศ” นายกิตติ สัจจาวัฒนา กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: