เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการพิเศษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สุวรรณภูมิใช้เทคโนโลยี เพื่อตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดและติดตามจับกุมตัวคนร้าย เป็นชาย วัย 41 ปี หลังก่อเหตุลักทรัพย์ภายในสนามบิน
ภาพวงจรปิดภายในอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ประตู 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้บันทึกภาพขณะที่ผู้เสียหายรายหนึ่ง ซึ่งเป็นพนักงานเข็นรถเข็นกระเป๋าสัมภาระภายในสนามบิน เดินเอาโทรศัพท์มือถือส่วนตัวมาวางเสียบสายชาร์จไว้ที่เครื่องโทรศัพท์สาธารณะบริเวณดังกล่าว ก่อนจะออกไปทำธุระบริเวณอื่น ผ่านไปไม่กี่นาทีภาพวงจรปิดมุมเดิม จับภาพชายคนหนึ่งคนสวมชุดสีดำ เดินเข้ามาทำทีใช้โทรศัพท์สาธารณะในจุดดังกล่าว ก่อนจะทำเนียนก้มหยิบโทรศัพท์ของผู้เสียหายแล้วเดินออกจากอาคารผู้โดยสารไป หลังเกิดเหตุไม่นานผู้เสียหายกลับมาจะเอาโทรศัพท์ที่ตนเสียบชาร์จไว้ แต่ไม่พบจึงรีบเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดและติดตามจับกุมตัวคนร้าย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ที่ 15 มีนาคม 2565
ข่าวน่าสนใจ:
- ตรัง สับปะรดทอด-ข้าวเม่าทอด ดาวเด่นประจำร้านสมพร รสชาติอร่อย ราคาเป็นกันเอง
- ชวนชิม 'ศรีบุญเรือน' ร้านข้าวต้มต้นตำรับ สืบทอดสามรุ่น เสน่ห์ร้านข้าวต้มยามค่ำคืน ที่รวมอาหารจีน อาหารเหลา อาหารใต้ไว้ในร้านเดียว
- สูงวัยตรัง ปลื้ม เตรียมตัวรับเงินหมื่น ฝันใช้ยามแก่-ต่อยอดอาชีพบั้นปลาย
- ค่ายรถยนต์ ผุดบูธเพิ่มช่องทางปั๊มยอดช่วงปลายปี หลังตลาดยังซบยาวต่อเนื่อง
นาย กิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรายงานเรื่องนี้จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการพิเศษและฝ่ายรักษาความปลอดภัยและชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บูรณาการฝ่ายสืบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เร่งไล่ล่าติดตามตัวคนร้ายรายนี้ให้ได้โดยเร็ว โดยแกะรอยผู้ก่อเหตุจากกล้องวงจรปิดติดตามตัว จนกระทั่งพบว่าหลังก่อเหตุคนร้ายได้เดินไปที่บัสเทอมินอล เพื่อเตรียมขึ้นรถหลบหนี ฝ่ายเทคนิคของสนามบินจึงใช้กล้องพิเศษตรวจหาคนร้ายรายนี้จนกระทั่งพบตัวว่า นั่งที่เก้าอี้รอผู้โดยสารอยู่ในจุดรอผู้โดยสาร จึงวิทยุสั่งการณ์ให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยเข้าควบคุมตัวและขอตรวจค้น ทราบชื่อนายสุวิทย์ เฉลิมวัย อายุ 41 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้เอาไป และไม่ยินยอมให้ค้นตัว เจ้าหน้าที่เชิญตัวออกมาด้านนอกและนำหลักฐานจากภาพวงจรปิดทั้งหมดให้ดู จึงยอมรับว่าก่อเหตุจริงและหยิบเอาของกลางเป็นโทรศัพท์มือถือที่ซ่อนในกระเป่ากางเกงพร้อมกับสายชาร์จ ส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยแจ้งข้อหาว่า ลักทรัพย์ในท่าอากาศยาน หรือรับของโจร ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิ มีการเข้มงวดมาตรการรักษาความปลอดภัยและดูแลทรัพย์สินให้กับผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิดซึ่งจะมีผู้โดยสารใช้บริการภายในสนามบินค่อนข้างน้อย จึงเป็นโอกาสให้มิจฉาชีพและคนร้ายเลือกเข้ามาก่อเหตุเพราะไม่มีคนพลุกพล่าน อีกทั้งปัจจุบันมีการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ อย่างเช่นกล้องวงจรปิดที่สามารถคอนโทรลติดตามตัวผู้ต้องสงสัยในจุดสำคัญตามเส้นทางต่าง ๆ เพื่อง่ายต่อการไล่ล่าตัวคนร้ายเมื่อเกิดเหตุ เคสนี้ก็เช่นกันจะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่เราสามารถใช้เวลาในการติดตามจับกุมคนร้ายได้ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษเท่านั้น จึงฝากประชาสัมพันธ์ผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากประสบเหตุการณ์ใด ๆ ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใกล้ตัวได้ทันที เนื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิ ปัจจุบันเรามีชุดเฉพาะกิจพิเศษที่จะเฝ้าคอนโทรลกล้องวงจรปิดและตะเวนตรวจตราภายในอาคารผู้โดยสารและพื้นที่รับผิดชอบภายในสนามบินสุวรรณภูมิ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: