กรุงเทพฯ – อธิบดีกรมควบคุมโรค สรุปผลใช้จริง วัคซีนโควิด-19 ช่วงสายพันธุ์โอมิครอน BA.4/BA.5 ระบาด พบฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ช่วยป้องกันป่วยรุนแรง ใส่ท่อช่วยหายใจได้ 83% และป้องกันเสียชีวิตได้ถึง 93% ส่วนเข็ม 4 ป้องกันป่วยรุนแรง ใส่ท่อช่วยหายใจ เสียชีวิตได้ถึง 100% และภูมิคุ้มกันอยู่นานถึง 6 เดือน
วันที่ 1 กันยายน 2565 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทย ยังมีทิศทางลดลง ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด ความครอบคลุมเข็มแรก 82.3% เข็มสอง 77.2% และเข็มกระตุ้น 45.6% โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปฉีดเข็มกระตุ้นได้ 50.6%
คณะทำงานศูนย์ประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลวัคซีน กรมควบคุมโรค ร่วมกับคณะทำงานวิชาการ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ติดตามประเมินประสิทธิผลวัคซีนโควิด 19 จากการใช้จริงในประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง
ผลการใช้จริงช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2565 ที่เป็นการระบาดของโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 พบว่า
การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นครบ 3 เข็ม จะเพิ่มประสิทธิผลในการป้องกันการป่วยรุนแรง คือ อาการปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจ จาก 60% ในผู้ที่ได้รับครบ 2 เข็ม เป็น 83%
และป้องกันการเสียชีวิตจาก 72% ในผู้ที่ได้รับครบ 2 เข็ม เป็น 93%
ส่วนผู้ที่ได้รับครบ 4 เข็ม จะป้องกันการป่วยรุนแรง อาการปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจ ได้ถึง 100% และป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% เช่นกัน
สำหรับกลุ่มสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ป้องกันปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ ในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มได้ 80% ต่ำกว่ากลุ่มอายุ 18-59 ปี ที่ป้องกันได้ 89% แต่จะเพิ่มเป็น 100% เมื่อได้รับครบ 4 เข็มทั้งสองกลุ่มอายุ
อธิบดีกรมควบคุมโรค ย้ำว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้น 3 เข็มขึ้นไป จะมีประสิทธิผลในการป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตในระดับสูงกว่า 80% ได้นานถึง 6 เดือน แต่แม้จะฉีดเข็มกระตุ้นแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อได้ แต่จะไม่ป่วยหนักหรือเสียชีวิต
ขณะนี้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง แนวทางการควบคุมโรคต้องดำเนินการอย่างสมดุล ทั้งมาตรการวัคซีน ที่เร่งรัดฉีดเข็มกระตุ้นในประชากรเป้าหมายให้ครอบคลุมสูงสุด มาตรการสังคม ที่ต้องใช้ชีวิต วิถีใหม่ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง และจัดการสภาวะแวดล้อมเสี่ยง และมาตรการการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ รู้สถานะการติดเชื้อเร็ว และรักษาเร็วด้วยยาที่มีประสิทธิผล
