ดอกมะลิรำพุ่งสูงลิ่วรับวันแม่แผงขายดอกไม้เปิดเผยช่วงนี้ไม่ออกดอกจำต้องขึ้นราคาพวงมาลัยแต่ก็ไม่มากเกรงว่าลูกค้าจะหนี ไม่ซื้อ ส่วนดอกไม้ที่ใช้ไหว้พระราคาก็ขึ้นตาม
เวลา 07.00 .วันที่ 10 สิงหาคม 2566 ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานี แผงขายดอกไม้ของนางสาวสมจิตร นิธิพงษ์ ซึ่งตั้งแผงมากว่า 20 ปีแล้วได้เปิดเผยว่าในช่วงนี้ราคาดอกมะลินั้นขึ้นมากในช่วงที่ใกล้วันแม่ที่จะถึงก็คือวันที่ 12 สิงหาคม นี้ โดยปรกติกิโลกรัมละ 350 บาท แต่ในช่วงวันแม่สวนมะลิที่ปลูกอยู่ ตำบลท่าฉนวน จังหวัดชัยนาทซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะลิที่ใหญ่เป็นมะลิพันธ์ุพื้นบ้านที่มีดอกใหญ่และกลิ่นหอมมากซึ่งจะนำดอกมะลิมาส่งบรรดาแม่ค้าที่สั่งพร้อมกับบอกว่าขอขึ้นราคาเป็น 1,100 บาท ต่อหนึ่งกิโลกรัมโดยบอกว่าในช่วงฝนตกบ้างไม่ตกบ้างทำให้เกิดผลกระทบต่อสวนมะลิไม่ออกดอกและต้องจ้างคนงานเก็บดอกมะลิแถมยังมีค่าน้ำมันรถที่สูงขึ้นในตอนนี้แต่ด้วยความต้องการของตลาด นั้นมีมากในช่วงวันแม่เพราะตามโรงเรียนแทบทุกโรงเรียนในจังหวัดอุทัยธานีจัดพิธีไหว้แม่ซึ่งต้องใช้พวงมาลัยดอกมะลิแล้วบรรดาลูก ๆ ที่กลับมาช่วงวันหยุดชดเชยตั้งแต่วันเสาร์ถึงวันจันทร์มาไหว้แม่ก็สั่งดอกมะลิไว้ล่วงหน้ากันเยอะนั่นเองซึ่งวันแม่ในปีนี้ยอดสั่งจองล่วงหน้านั้นน้อยมากรวมถึงพวงมาลัยที่ร้อยมาแขวนไว้ที่หน้าร้านไว้เพื่อรอคนมาซื้อก็ขายได้น้อยกว่าทุกปี
ซึ่งจากการสำรวจแผงขายดอกไม้กับพวงมาลัยในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานีนั้นก็บ่นตามกันว่าต้องเพิ่มต้นทุนในการร้อยพวงมาลัยที่เป็นดอกมะลิต้องขึ้นราคากันอย่างเช่น พวงมาลัยดอกมะลิพวงเล็กเคยขายอยู่ที่ 20 บาท ก็ขึ้นไป 230บาท พวงกลางปรกติขายอยู่ที่พวงละ 60 บาทและพวงใหญ่ เดิมนั้นราคาอยู่ที่ 100 บาท พุ่งมาเป็น 120 บาท ซึ่งราคาที่ขึ้นนั้นก็ไม่ได้กำไรอะไรมากมายเพราะต้นทุนนั้นสูงมากแต่หากขึ้นราคามากกว่านี้ก็เกรงว่าจะขายไม่ได้นั่นเองซึ่งหลังจากวันแม่ผ่านไปแล้วนั้นราคาดอกมะลิก็จะลงมาเหมือนเดิม ก็เพราะความต้องการนั้นน้อยลงนั่นเองส่วนผู้ที่ใช้พวงมาลัยนำไปไหว้แม่นั้นก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องซื้อพวงมาลัยในราคาที่แพงมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันดอกไม้ประเภทอื่น เช่น ดอกดาวเรือง ดอกบัว และกล้วยไม้ที่ใช้ในการประกอบพิธีไหว้พระหรือถวายพระสงฆ์ราคาส่งก็เริ่มขึ้นเช่นเดียวกันอีกด้วย
