สระแก้ว – กสทช.จับมือ”รองต่อ” บุกทลายสถานีเถื่อนต้นตอแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ จ.สระแก้ว 4 จุด พบ 23 สถานีผิดกฎหมาย สามารถจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตและหันทิศทางสายอากาศไปยังประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ตลาดโรงเกลือฝั่งตรงข้ามเมืองปอยเปต อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จับกุมผู้กระทำผิด จำนวน 2 ราย ยึดซิมและอุปกรณ์จำนวนมาก “รองต่อ” ระบุเตรียมเดินหน้าเฟส 2 และ 3 กวาดล้างทั่วประเทศ และยึดทรัพย์ผู้กระทำผิดนำมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 ส.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.ตร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ, พร้อมด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. , นายใตรรัตน์ วิริยะศิรติกุล รักษาราชการ เลขาธิการ กสทช. , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท, นายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกิจการภูมิภาค, นายจาตุรนต์ โชคสวัสดิ์ ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการ์โทรคมนาคม, พล.ต.ต.ณัฐกร ประกายนต์ ผบก.สอท.2 และ พ.ต.อ.จักรกฤช ศรีโรจนากูร ผกก.2 บก.สอท.2 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงาน กสทช. และ สอท.ร่วมกันแถลงผลการจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมและเสาสัญญาณผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า มีการลักลอบส่งสัญญาณโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาอาชญากรรมด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเว็บพนันออนไลน์ ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในปัจจุบัน
พล.ต.อ.ตร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ เปิดเผยว่า เนื่องจากเป็นที่แน่ชัดว่า กลุ่มแก๊งมิจฉาชีพได้อาศัยตะเข็บชายแดน เป็นแหล่งกบดานและเป็นฐานก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่อคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และพนันออนไลน์ โดยอาศัยสัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณมือถือ ที่กระจายสัญญาณจากฝั่งประเทศไทย โดยมีการลักลอบตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเถื่อน กระจายสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตเกินเขตราชอาณาจักรไมย ดังนั้น กสทช. ได้ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ติดตามตรวจสอบการประกอบกิจการโทรคมนาคมของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช.และ ตรวจค้นจับกุมการตั้งสถานีวิทยุคมนาคมที่ไม่ได้รับอนุญาต ตามแนวชายแดน เพื่อตัดปัจจัยอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตรวจพบว่า พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จว.สระแก้ว มีการตั้งสถานีโทรคมนาคมและเสาสัญญาณผิดกฎหมายหลายแห่ง จึงได้ดำเนินการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอหมายศาล จนนำไปสู่การจับกุมในวันนี้
ทั้งนี้ สำหรับการเข้าจับกุมครั้งนี้พบว่า กรณีที่ 1 เข้าจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และหันทิศทางสายอากาศไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จำนาน 4 สถานี ซึ่งเป็นความผิดฐานฐาน “มีและใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมและตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับในอนุญาต” ตามมาตรา 6 และ 11 แห่ง พรบ.วิทยุคมนาคมฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งปรับทั้งจำ และมีความผิดฐาน “ประกอบกิจการโทรคมนาคม ชึ่งต้องได้รับใบอนุญาตแบบที่หนึ่งโดยไม่ได้อนุญาต” ตามมาตรา 67 (1) แห่ง พรบ.ว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคม ฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท พร้อมทั้งจับกุมผู้กระทำผิด จำนวน 2 ราย ในการนี้ สำนักงาน กสทช. ได้ทำการรื้อถอนสถานีวิทยุคมนาคมผิดกฎหมายดังกล่าวทั้งหมด และทำการยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองลึก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ข่าวน่าสนใจ:
- นาทีหนีตาย!! โดดลงจากบ้านสูง 3 เมตร หนุ่มโรงงาน หวังรวยทางลัด วิ่งขายยาเสพติดในพื้นที่ ต.บ้านแก้ง สุดท้ายหนีไม่รอด
- งูหลามตัวใหญ่เข้าบ้าน แจ้งกู้ภัยฯช่วยจับ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
- จังหวัดสกลนคร คุมเข้มเตรียมพร้อมป้องกันไฟป่า-งดเผา ลดฝุ่น PM 2.5
- กทม. ร่วม"ฟูกูโอกะ" เปิดงาน "Fukuoka Fair" ฉลอง 18 ปีเมืองพี่เมืองน้อง
สำหรับกรณีที่ 2 เจ้าหน้าที่ชุด กสทช.และตำรวจ พบการตั้งสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ และหันทิศทางสายอากาศไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทำให้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ข้ามเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเหตุให้พื้นที่การให้บริการ (Sevice Area) ของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเกินกว่าอาณาเขตพื้นที่ประเทศไทย และล่วงล้ำไปยังอาณาเขตประเทศข้างเคียง โดยจากการตรวจสอบ พบว่า สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวในพื้นที่ จ.สระแก้ว มีจำนวนถึง 23 สถานี ในกรณีนี้ สำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินการแจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งหมด เร่งแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยให้ถอนการติดตั้งสายอากาศบางจุด หรือปรับทิศทางสายอากาศ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใด มิให้แพร่สัญญาณคลื่นความถี่ออกนอกเขตพื้นที่ประเทศไทย เพื่อให้พื้นที่การให้บริการ (Service Area) อยู่ภายในอาณาเขตพื้นที่ประเทศไทย
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดปฏิบัติการของสำนักงาน กสทช. และ สอท. ได้ตรวจสอบพบอีกว่า มีการจำหน่ายชิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ลงทะเบียนการใช้งานโดยใช้ชื่อบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ผู้ใช้งานที่แท้จริง เพื่อจำหน่ายให้กับบุคคลอื่น จำนวน 50 ซิมการ์ด ในพื้นที่ตลาดโรงเกลือ จึงได้เข้าตรวจยึดซิมการ์ดดังกล่าว และดำเนินคดีกับผู้จำหน่ายซิมการ์ด ซึ่งเป็นความผิด ตาม พรก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อช่วงต้นที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ สำนักงาน กสทช. จะร่วมกันปฏิบัติการกับ สอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ สแกนพื้นที่บริเวณชายแดนในเขตจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิด และขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพื่อสกัดกั้นไม่ให้แก๊งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เคลื่อนไหวอยู่ตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เข้าถึงสัญญาณโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตได้ เป็นการตัดแขนตัดขาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ให้กระทำการได้สะดวก ลดการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พล.ต.อ.ตร.ณัฐธร กล่าวอีกว่า ภายหลังกฏหมายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประกาศใช้ซึ่งสามารถเอาผิดผู้ที่จัดหาบัญชีม้ามาให้กับกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพรองรับการโอนเงินหรือใช้ในการโอนเงิน รวมทั้งคนที่เปิดบัญชีเพื่อให้บุคคลอื่นรองรับการโอนเงิน จะได้รับโทษตรง ๆ ในฐานะตัวการ ไม่ใช่ผู้สนับสนุน เนื่องจากที่ผ่านมาจะจับเฉพาะเจ้าของบัญชีและไม่สามารถสาวไปถึงตัวการที่แท้จริงซึ่งอยู่ในต่างประเทศ รวมทั้งการสกัดกั้นการโอนเงินการทำธุรกิจธุรกรรมการโอนเงินอย่างรวดเร็ว รายนาที ไม่ใช่รายชั่วโมง เพราะการโอนเงินด้วยธุรกรรมออนไลน์มันรวดเร็วมาก ในการนำเงินออกไปนอกประเทศ เป็นปัญหาสำคัญมาก ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปปง. กสทช.จึงร่วมกันสกัดกั้นทุกรูปแบบ
ทางด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ซิมที่ตรวจยึดได้ เป็นการซื้อมาจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งนำไปใช้ในการกระทำความผิด เมื่อก่อนราคาแค่ 50 บาท ปัจจุบันราคา 350 บาท ขณะนี้เราได้ทำเรื่องเพื่อตรวจสอบพบเสาสัญญาณทั่วประเทศตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านถึง 182 เสาทั่วประเทศ และจังหวัดสระแก้ว 23 เสา พบข้อมูลชัดเจนว่ามีการกระทำความผิดว่า กระจายสัญญาณออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับปัญหาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขณะนี้ ทางเอฟบีไอ และสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ความสนใจปัญหาการหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประชาชนได้รับความเสียหายเป็น 100 ล้าน 1000 ล้าน ซึ่งสาธารณรัฐประชาชนจีนมีนโยบายในการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์รอบบ้านเรา เพราะมีผลกระทบกับการประกอบธุรกิจของประเทศนั้น ๆ โดยสุจริต ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญ ซึ่งหลังจากนี้เราจะได้ขยายผลต่อในเรื่องของเส้นทางการเงิน ซึ่งหลังจากนี้จะมีเฟส 2 และ 3 ต่อเนื่อง เพื่อให้มีการยึดทรัพย์และเฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหาย ซึ่งจะเห็นเป็นรูปธรรมในเฟส 2 และ 3 ต่อไป
———————————–
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: