X

ร้องเรียนเพจดังโพสต์ ครูเขกหัวนักเรียน ป.2 บวมปูด จ.ปราจีนบุรี

ปราจีนบุรี – เพจดังโพสต์ร้องเรียนครูเขกหัวนักเรียนบวมปูด ในพื้นที่ ต.นนทรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี

เมื่อวันที่ 13 พ.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีเพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน part  6  ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพว่า  ให้สมาชิกฝากให้ช่วยแชร์…ช่วยแชร์ด้วยค่ะ หลานสาวโดนคุณครูท่านนึง ในโรงเรียนทุบด้วยหลังแหวน โดนหลายครั้ง ทั้งเขย่าตัว เขย่าหัว บิดหัวไปมา มีครั้งนึงที่หลานงอแงไม่อยากไปโรงเรียนเลย เพราะหลานไม่เคยพูดให้ฟัง มีครั้งนี้ที่เจ็บสุด ถึงได้เอ่ยปากบอกออกมา… ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีเรียบร้อยแล้วค่ะ จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมความ ถ้าตำรวจจัดการไม่ได้.. ก็จะร้องสื่อค่ะ “ พร้อมใบรับรองแพทย์


โดยผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านหนองอนามัย ต.นนทรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี พร้อมด้วย กำนันตำบลนนทรี พบยายและเด็กหญิงข้าวตังค์ นักเรียนชั้น ป.2  อยู่ที่บ้านกับยาย ทางแม่และป้าไปทำงาน ทางกำนันจึงสอบถามเรื่องราว และในวันนี้ทางโรงเรียนจะมารับเด็กหญิงไปโรงเรียน แต่ทางป้าปูเป้ แม่และยาย ไม่อนุญาตให้เด็กหญิงไปโรงเรียน

ซึ่งจากการสอบถาม ด.ญ.ข้าวตังค์  บอกว่า หนูทำการบ้านไม่เสร็จ ครูก็เลยเขกหัว ใช้มือเขกและนิ้วมือก็ใส่แหวน ครูเขกหัว 1 ครั้ง หนูทำเขียนตามคำบอกไม่เสร็จ หนูก็บอกครูว่า จะลอกเพื่อน แล้วครูถามว่า จะลอกจากไหน แล้วครูก็เขกหัวหนู


ทางด้าน ยาย แม่ และป้าของน้องข้าวตังค์ บอกว่า จะไม่ยอมความ จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด โดยไปแจ้งความไว้ที่ สภ.กบินทร์บุรี แล้ว ส่วนทางโรงเรียนได้มาคุยกับทางผู้ปกครองของน้องข้าวตังค์ ว่าจะชดเชยค่าเสียหายให้ แต่ทางผู้ปกครองยังไม่คุย

กระทั่ง ในช่วงบ่ายวันนี้ (13 พ.ย.66) น.ส.ปติมา กาญจนากาศ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 2 พร้อมคณะ ได้เดินทางไปที่โรงเรียนบ้านหนองอนามัย ต.นนทรี อ.กบินทร์บุรี เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยเชิญ น.ส.ดวงใจ ธรรมา ผอ.โรงเรียนฯ พร้อมอาจารย์ณพฯ ที่ถูกผู้ปกครองแจ้งความ ให้ข้อมูลรายละเอียดที่เกิดขึ้น


โดยอาจารย์ณพฯ ได้กล่าวว่า ได้ให้งานนักเรียนทำและเป็นช่วงใกล้โรงเรียนเลิก ก็พบว่า น้องข้าวตังค์ยังทำงานไม่เสร็จ จึงถามว่า ทำไมยังทำงานไม่เสร็จพร้อมกับใช้มือเคาะไปที่หัวน้องเบา ๆ ไม่ได้ทำรุนแรงอย่างใด จนทราบจากท่านผู้อำนวยการว่า น้องมีอาการหัวโนที่ศีรษะ เมื่อทราบข่าว จึงได้เดินทางไปเยี่ยมน้องที่บ้าน พร้อมมอบเงินจำนวน 5,000 บาท พร้อมสิ่งของให้กับน้อง เป็นการเยียวยาทำขวัญให้กับน้องไปแล้ว  ซึ่งในเรื่องนี้ตนเองก็สำนึกผิดก็ต้องขอโทษไปยังผู้ปกครองอีกครั้ง ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่การลงโทษ เพียงใช้มือจับไปที่ศีรษะ น่าจะเป็นช่วงที่แหวนบริเวณนิ้วชี้ข้างซ้าย ไปถูกหนาผาก และในความเป็นจริง ก็ไม่ใช่เป็นแผลบวมโน แต่ยอมรับว่า อาจทำให้น้องได้รับบาดเจ็บ ส่วนพฤติกรรมที่เคยลงโทษนักเรียนที่ผ่านมา ก็ได้มีการปรับปรุงตัวและใจเย็นขึ้นแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องขอโทษน้อง และทางครอบครัวอีกครั้ง

ส่วน น.ส.ปติมา กาญจนากาศ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 2 กล่าวว่า ทางสำนักงานเขตได้รับเรื่องมาวันศุกร์ ว่าเหตุเกิดตั้งแต่วันพุธ ว่ามีผู้ปกครองไปแจ้งความ ทางเราจึงต้องไปดูเด็กก่อน เมื่อไปโรงพยาบาลแล้ว ก็ได้ตรวจ พบว่า เด็กมีรอยที่ศีรษะ ส่วนทางคุณครู ก็ได้ให้ ผอ.ตั้งคณะกรรมการสอบว่า ข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ซึ่งความต้องการของผู้ปกครองคือ ต้องการให้คุณครูออกจากโรงเรียน แต่ทางเรายังไม่มีข้อมูล ก็ขอตรวจสอบก่อน ถ้าพฤติการณ์คุณครูมีความผิดจริงตามคำกล่าวอ้าง ก็จะมีการลงโทษทางวินัย เราได้รับแจ้งว่า เด็กเจ็บมาก ทางเราก็ได้ส่งนักจิตวิทยาและหน่วยงานต่าง ๆ ลงไปเยี่ยม เห็นเด็กตัวเล็ก เด็กก็น่าสงสาร  ถ้าคุณครูผิดจริงทางเราก็ต้องให้ออก แต่จากการพูดคุยกับคุณครูก็คิดว่า ถ้าเป็นแรงของผู้ชายตั้งใจจะทำแรงจริง ๆ น่าจะเจ็บกว่านี้  แต่ทางสำนักงานก็ยังไม่ฟันธง ขอตรวจสอบก่อน เพราะทางเด็กก็มีใบรับรองแพทย์อยู่ ถ้าตรวจสอบแล้วผลไปทางใดทางหนึ่ง ก็จะสรุปให้ถูกต้องอีกครั้ง ส่วนเรื่องที่มีคนบอกกล่าวว่า คุณครูมีพฤติการณ์รุนแรง ซึ่งจากการตรวจสอบ ก็ยังไม่มีผู้เสียหายมาร้องเรียน ซึ่งตอนนี้ยังมีแต่คำบอกเล่า  ขอให้มีการสืบข้อเท็จจริงออกมาก่อน

————————–
ข่าว-ภาพโดย/ทองสุข สิงห์พิมพ์

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

Picture of ธนภัท กิจจาโกศล

ธนภัท กิจจาโกศล

"ธนภัท กิจจาโกศล" ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สระแก้ว "ประสบการณ์ยาวนานกับงานสื่อสารมวลชนระดับประเทศ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จับงานด้านข่าว สกู๊ปและรายงานพิเศษ กว่า 22 ปี มุ่งสื่อสารความจริงและข่าวสารที่เป็นธรรม สู่ประชาชนในภูมิภาค ด้วยจรรยาบรรณของฐานันดรที่ 4 เพื่อสร้างความโปร่งใสการรับรู้ข่าวสารของสังคม"