กรุงเทพฯ : ‘ปวีณา’ พาเหยื่อ 3 เคส ถูกหลอกไปค้าประเวณี, ถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ และถูกหลอกไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ เข้าพบ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ทำคดี ติดตามหาตัวกลุ่มขบวนการมิจฉาชีพมาดำเนินคดี รอง ผบ.ตร.รับเรื่องทันที พร้อมสั่งการเปิดแพลตฟอร์ม ประชาสัมพันธ์ รองรับซักถามข้อมูล จาก ปชช. ปิดช่องทางมิจฉาชีพ ไม่ให้เติบโต
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พาผู้เสียหายทั้งหมด 25 ราย ใน 3 เคสไปพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอความช่วยเหลือติดตามจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ และติดตามหากลุ่มผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายยังค่ะ
ข่าวน่าสนใจ:
- มหกรรมอาหารทะเลพื้นบ้านประมงเรือเล็กระยอง อาหารทะเลสดๆ-สินค้าชุมชน ชมคอนเสิร์ตศิลปินชื่อดัง
- แฮนดี้แมนออโต้ เปิดตัว "NIBD" คุณภาพพรีเมี่ยม มิสแกรนด์สมุทรปราการร่วมสร้างสีสันแบรนด์
- กทม. ร่วม"ฟูกูโอกะ" เปิดงาน "Fukuoka Fair" ฉลอง 18 ปีเมืองพี่เมืองน้อง
- ตรัง คู่ซี้ พระ-ฆราวาส เมาแอ๋ด่าทอชาวบ้านใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อาละวาดอ้างมีปืน ทำชาวบ้านแตกตื่น ตร.หิ้วปีกบังคับสึก กร่างไม่เลิกบอกรู้จักพระผู้ใหญ่
ซึ่งผู้เสียหายในเคสที่ 1. คือ หญิงสาว 3 ราย อายุ 22 ปี 35 ปี และ 41 ปี ภายหลังถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศเมียนมา ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ ในแอปพลิเคชั่น ติ๊กต็อก ชักชวนให้ไปเที่ยวเมืองเชียงตุง จนเหยื่อหลงเชื่อ เดินทางไป ก่อนถูกจับกักขัง และบังคับให้ค้าประเวณีที่เมืองหนึ่ง ส่วนหญิงสาวอีก 2 ราย ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ถูกเพื่อนชักชวนไปเที่ยวเชียงตุงเช่นเดียวกัน เมื่อเดินทางไปถึง ก็ถูกกักขังบังคับให้ค้าประเวณีที่เมืองป๊อก
เคสที่ 2. มีผู้เสียหายจำนวน 25 ราย จากจังหวัดต่าง ๆ อาทิ หนองคาย บึงกาฬ สมุทรปราการ ชลบุรี ถูกนายหน้าสองสามีภรรยา หลอกจะพาไปทำงานด้านการเกษตร ที่ประเทศออสเตรเลีย หลังจ่ายเงินไปล่วงหน้ากันคนละ 2-8 หมื่นบาท นาน 7 เดือนแล้วยังไม่ได้เดินทางไป สองสามีภรรยากลับหนีหาย ทำให้ต้องเป็นหนี้เป็นสินเดือดร้อน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1.3 ล้านบาท
เคสที่ 3. ผู้เสียหายจำนวน 10 ราย ถูกกลุ่มมิจฉาชีพ หลอกให้เปิดบัญชีม้า หลังพบโฆษณาชักชวนในโซเชียลให้ไปทำงานแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยจะมีรายได้เดือนละ 35,000-45,000 บาท ก่อนเดินทางจะต้องเปิดบัญชีธนาคาร โดยจะมีค่าตอบแทนบัญชีละ 5,000 บาท เมื่อเหยื่อหลงเชื่อเดินทางไป กลับถูกกักขังในห้อง ยึดพลาสปอร์ต โทรศัพท์มือถือ ซิมโทรศัพท์ บังคับให้สแกนใบหน้าแอปพลิเคชั่นธนาคาร เพื่อยึดบัญชีไว้สำหรับโอนเงินเข้า เมื่อเหยื่อถูกอายัดบัญชี ก็ส่งตัวกลับไทย พร้อมกับข่มขู่ห้ามแจ้งความ มิฉะนั้นจะส่งคนมาฆ่า ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ที่ถูกส่งกลับมา ก็จะต้องเจอกับหมายเรียกของตำรวจ กลายเป็นผู้ต้องหาฉ้อโกงเงินจำนวนมาก บางคนมีหนี้สินนับล้านบาท
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้รับเรื่องทั้งหมดไว้ พร้อมจัดทีมเจ้าหน้าที่ทำการสอบปากคำผู้เสียหายในทันที และจะให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อทุกคน ส่วนผู้เสีย 3 รายที่ถูกส่งไปค้าประเวณี ได้ส่งต่อไปให้ทางกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ทำการสอบสวนเพื่อเร่งออกหมายจับผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี ซึ่งเคสนี้ ทาง รอง ผบ.ตร.ยืนยันอย่างชัดเจนว่าจะออกหมายจับให้ได้ทั้งขบวนการ ทั้งที่อยู่ในประเทศ และในเมียนมา พร้อมให้ความมั่นอกมั่นใจว่า ไม่ใช่เรื่องยากเพราะเรามีความสัมพันธ์กับ ผบ.ตร.ที่เมียนมาเป็นอย่างดี รวมถึงอีก 2 เคส จะต้องเร่งติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว
“ขอเตือนประชาชนอย่าหลงโฆษณาในโซเชียลที่มาในแบบชวนท่องเที่ยวหรือชวนไปทำงาน ของฟรี งานดี รายได้สูงไม่มีอยู่จริง ควรจะตรวจสอบให้ดีก่อน และหากคิดจะไปทำงานที่เมียนมา อย่าไปทำงานในลักษณะแบบนี้ ทั้งค้าประเวณี และคอลเซ็นเตอร์ อย่างที่เล้าก์ก่าย ที่เรากำลังจะช่วยเหลือกลับมาจากทีแรกมีประมาณ 100 กว่าคน แต่ตอนนี้เพิ่มเป็น 300 กว่าคนแล้ว อีกอย่างที่เมียนมามีการสู้รบกันตลอด มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามา มีกองกำลังอาระกัน ตาห่า เล้าก์ก่าย หรือแม้แต่ว้า ซึ่งกองกำลังเหล่านี้ต้องการเงินเพื่อที่จะไปสะสมอาวุธ เพื่อจะไปสู้กับรัฐบาล อะไรก็ตามที่เป็นรายได้เอาหมด แตกต่างกันกับ ลาว กัมพูชา ที่ทุกอย่างเบ็จเสร็จ ทางเราสามารถพูดคุยกับเขาได้ แต่เมียนมาการคุยมันไม่จบในทีเดียวในรัฐบาล จะต้องคุยกับหัวหน้ากองกำลังต่างๆด้วย ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เขาเอาเงินหมด ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปได้ยาก ในสถานการณ์สู้รบอย่างที่เป็นอยู่นี้ ทางที่ดีอย่าไปเลยจะดีกว่า”
รอง ผบ.ตร.ยังกล่าวอีกว่า ตอนนี้กำลังมีแนวคิดที่จะสร้างแพลตฟอร์มในการประชาสัมพันธ์ เพื่อเตือนประชาขนอย่าหลงเชื่อโฆษณาในโซเชียล ก่อนที่จะตกไปเป็นเหยื่อ หรือหากท่านใดต้องการตรวจสอบข้อมูลก็สามารถโทรสอบถามกับตำรวจได้โดยตรง ซึ่งจะต้องเร่งทำตรงนี้ให้ได้โดยเร็ว เพื่อประชนจะได้ไม่หลงเขื่อเดินทางไป ถูกกักขังทำร้าย บังคับค้าประเวณี บังคับทำงานผิดกฎหมาย เหมือนตกนรกทั้งเป็น
นางปวีณา กล่าวว่า ปัญหาการค้ามนุษย์ที่ทางมูลนิธิได้รับเรื่องร้องทุกข์มา ตลอดปี 2565 ทั้งในและนอกประเทศ มี 155 ราย มาปีนี้ 2566 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ 263 ราย เฉพาะเมียนมา 87 ราย ถูกหลอกไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ 62 ราย ที่เหลือเป็นค้าประเวณี 25 ราย รวมถึงประเทศอื่น ๆ อย่างดูไบ บาเรน โอมาน ซึ่งสิ่งที่อยากจะขอเตือนคนไทยไม่ใช่เฉพาะผู้หญิง ทุกวันนี้มีผู้ชาย ที่ถูหอกไปเป็นคอลเซ็นเตอร์ ที่ถูกบังคับให้ไปหลอกคนอื่น หากถูกหลอกไปที่เมียนมา ขั้นตอนค่อนข้างยากมาก เนื่องด้วยปัญหาการสู้รบ สำคัญที่สุดคนไทยเราไม่ควรจะไป หากไปแล้วช่วยยากมาก แต่สิ่งที่อยากจะร้องขอไปยังรัฐบาลคืออยากจะให้จะชัดหาที่พัก หรือเซฟเฮาท์ ไว้เป็นที่พักพิงในระหว่างการประสานงาน จะได้ไม่เป็นเหมือนเหยื่อทั้ง 3 รายที่เราพามาในวันนี้
:อ่านข่าวที่เกี่ยวเนื่องก่อนหน้าได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: