รฟท.เดินหน้าโครงการก่อสร้างทางรถไฟช่วงชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนอง
การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เชิญชวนผู้สนใจร่วมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน(ครั้งที่2) โครงการก่อสร้างทางรถไฟช่วงชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนอง รองรับ โครงการ Land Bridge ชุมพร-ระนอง
การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ได้กำหนดจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (ครั้งที่2) งานสำรวจ ออกแบบรายละเอียด และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการก่อสร้างทางรถไฟช่วงชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนอง เพื่อนำเสนอผลการศึกษาของโครงการ ผลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อโครงการ สำหรับนำไปประกอบการศึกษาของโครงการให้มีความครบถ้วนและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ซึ่งนำมาสู่การยอมรับร่วมกัน ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องราชาวดี เฮอริเทจ แกรนด์ คอนเวนชั่น อ.เมืองระนอง จ.ระนอง หรือเข้าร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์โปรแกรม Zoom Cloud Meeting(Meeting ID:92792558024 และ Passcode:634861) จึงขอเชิญชวนผุ้ที่สนใจเข้าร่วมประชุมดังกล่าว โดยตอบรับเข้าร่วมประชุมฯหรือแจ้งลงทะเบียนล่วงหน้า ภายในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 สอบถามรายละเอียดเพิ่มโทร. 0 2763 2828 ต่อ 4086 ,08 5940 4583 โทรสาร 0 2763 2830
สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟช่วงชุมพร-ท่าเรือน้ำลึกระนอง การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. ได้ว่าจ้างให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการสำรวจ ออกแบบรายละเอียด และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มดำเนินงานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 โครงการมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่บริเวณแหลมริ่ว ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน ผ่าน อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร และมีจุดสิ้นสุดที่บริเวณแหลมอ่าวอ่าง ต.ราชกรูด อ.เมืองระนอง จ.ระนอง รายละเอียดโครงการเบื้องต้น เป็นระบบรางให้สอดคล้องกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและขนส่ง เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน(Land Bridge) และแผนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง(MR-MAP) เส้นทางชุมพร-ระนอง(MR8) รวมระยะทาง 87.50 กิโลเมตร ทางรถไฟขนาดรางกว้าง 1 เมตร จำนวน 2 ทาง มี 5 สถานี ประกอบด้วย สถานีท่าเรือชุมพร สถานีวังตะกอ สถานีพะโต๊ะ สถานีราชกรูด และสถานีท่าเรือระนอง มีการเจาะอุโมงค์ 10 แห่ง ความยาวรวมประมาณ 15 กิโลเมตร มีระยะเวลาในการก่อสร้าง 5.5 ปี คาดว่าจะเปิดให้บริการปี พ.ศ. 2573 สำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการ คือ เพิ่มขีดความสามารถด้านการขนส่งสินค้า ผู้โดยสาร เพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของประเทศ เพื่อพัฒนาระบบดลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพตอบสนองต่การลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงฐานการผลิตในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) กับประตูการค้าภาคใต้ เพื่อส่งต่อสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ BIMSTEC หรือตะวันออกกลาง ยุโรป ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: