X

ญาติเด็ก 14 ปี ร้องเรียนถูกเพื่อนใช้เข็มหมุดยิงลูกดอกใส่ตาบอด คดีไม่คืบ

สระแก้ว – ญาติเด็ก 14 ปี ร้องเรียนถูกเพื่อนใช้เข็มหมุดยิงลูกดอกใส่ตาบอด คดีไม่คืบ หมอระบุ ดวงตาขวา ไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ต้องหยอดตาทุก 2 ชม.เวลากลางคืนจะนอนปวด และทรมานมาก เรียกร้องให้ผู้ปกครองเด็กที่ก่อเหตุและส่วนที่เกี่ยวข้องเยียวยา ล่าสุด ถูกข่มขู่ ด้วย 

เมื่อวันที่ 27 ม.ค.67 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนเหตุการณ์ที่ น.ส.สรวรรณ อิ่มกุศล อายุ 30 ปี ที่อยู่ 197 ม.9 ต.ทัพไทย อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เดินเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.บ้านทัพไทย เมื่อวันที่ 15 ม.ค.67 ที่ผ่านมา ระบุว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค.67 เวลา 12.00 น. ด.ช.เมฆา พุตทอง บุตรชาย อายุ 14 ปี ได้ถูก ด.ช.อ้วน ชื่อเล่น อยู่บ้านโคกระกา ได้ใช้เข็มหมุดทำเป็นลูกดอก สวมใส่ท่อนเหล็กยาวประมาณ 50 เชนติเมตร แล้วเป่า ทำการยิงแตนที่บินอยู่ริมหน้าต่างของโรงเรียนฯ ซึ่งมี ด.ช.เมฆาฯยืนอยู่ ทำให้ลูกดอกเข็มหยุดดังกล่าว ถูกที่ดวงตาขวา ได้รับบาดเจ็บ ถูกนำส่ง รพ.ตาพระยา และส่งต่อไปทำการรักษาที่ รพ.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ผลการรักษา สายตาขวาไม่สามารถแก้ไขกลับมาเหมือนเดิมได้  น.ส.สรวรรณฯ ผู้แจ้งจึงได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน เพื่อร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ ด.ช.อ้วน ,และบิดา,มารดา จนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ อาคารเรียนชั้นสอง โรงเรียนเพ็ชรรัตนราชสุดา ม.3 ต.ทัพไทย อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว

ทั้งนี้ ร.ต.อ.วีระนนท์ ธนาณัฐเศรษฐ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.บ้านทัพไทย อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ได้รับแจ้งความไว้แล้ว และจะได้ทำดำเนินการสอบสวนต่อไป ซึ่งทางญาติของ ด.ช.เมฆาฯ ได้นำหนังสือใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อผู้สื่อข่าว ซึ่ง พ.ญ.สิริวรรณ แจ่มทับทิม แพทย์ รพ.อรัญประเทศ ระบุว่า ดวงตาขวา ไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมได้ แม้จะมีการผ่าตัด นอน รพ.ระหว่างวันที่ 8-11 ม.ค.67 และพักรักษาตัวต่อเนื่องอีก 1 เดือน


นางสาวสรวรรณ อิ่มกุศล อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 197 ม.9 ต.ทัพไทย อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ได้เข้าร้องเรียนสื่อมวลชนขอให้ช่วยเหลือหลังโดนข่มขู่ โดยเธอเล่าว่า ลูกชายอายุ 14 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนใน ต.ทัพไทย ได้ถูก ด.ช.อ้วน อยู่บ้านโคกระกา ซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกันคือชั้น ม.3 ได้ใช้เข็มหมุดทำเป็นลูกดอกสวมในท่อเหล็กยาวประมาณ 50 เซ็นติเมตร เพื่อเป่ายิงแตนที่บินอยู่บริเวณหน้าต่างของโรงเรียน แต่ได้ยิงผิดมาโดนลูกตาข้างขวาของลูกชาย คือ ด.ช.เมฆาฯ จนต้องนำส่งรักษาที่ รพ.อรัญประเทศ เป็นเวลา 4 วัน หมอให้กลับมารักษาตัวที่บ้านและต้องหยุดเรียนมาตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.จนถึงปัจจุบัน เพราะต้องหยอดตาทุก 2 ชม. เวลากลางคืนจะนอนปวด และทรมานมาก ซึ่งผลที่แพทย์แจ้งออกมา คือ ดวงตาข้างขวาไม่สามารถจะกลับมาใช้ได้ตามปกติ


น.ส.สรวรรณ กล่าวอีกว่า ตนได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ทัพไทย ตั้งแต่ในวันที่ 15 ม.ค.67 จนถึงขณะนี้ ร้อยเวร สภ.บ้านทัพไทย ได้เรียกผู้ปกครองของ ด.ช.อ้วน มาพูดคุยกัน แต่ตกลงกันยังไม่ได้ จนต้องรอร้อยเวรเรียกมาคุยกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้คุยกัน ก็มีคนมาบอกกับหลานสาวของตนว่า ทางอีกฝ่ายบอกมาว่า ถ้าคิดจะดำเนินคดีกับฝ่ายตน ระวังให้ดี เพราะฝ่ายตนมีพวกเป็นทั้งตำรวจ และ อบต.ทำให้ตนเองและครอบครัว มีความเกรงกลัว จะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงร้องเรียนขอให้สื่อช่วยเหลือตรวจสอบกรณีนี้


“ช่วงที่น้องเข้า รพ.ทางครูประจำชั้นไปส่งน้องที่นั่น มีการมองเงินให้ไว้ซื้อขนมประมาณ 500 บาท หลังจากนั้นน้องก็ต้องนอน รพ. 3 คืน 4 วัน มีการผ่าตัดดวงตา หลังน้องออกจาก รพ.ครูมาเยี่ยมน้อง 1 ครั้ง มีการพูดคุยกัน ครั้งที่ 2 ที่ทาง ร.ร.มาคือ มามอบเงินเป็นค่าขนมให้น้อง 4,000 บาท และเป็นของ ผอ.เก่า 500 บาท ซึ่งเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงพักเที่ยง เหตุการณ์ที่น้องโดนเข็มหมุด คือ มีนักเรียนด้วยกัน เขามาบอกที่บ้าน โดยแม่เองก็อยู่บ้าน มีการพาน้องไปที่อนามัยทัพไทย และส่งไป รพ.ตาพระยา ส่งไป รพ.อรัญประเทศ ซึ่งเรื่องความรับผิดชอบอะไรต่าง ๆ ครูยังไม่ได้มาพูดคุยอะไร ซึ่งค่าใช้จ่ายการพาลูกไปรักษาแม่เป็นคนจ่ายทุกอย่าง ยังไม่ได้มีการเยียวยาอะไรน้องเลยในช่วงที่ผ่านมา” แม่ของเด็ก กล่าวและว่า


จากข้อมูลใบแพทย์ บอกว่า น้องมีการเปลี่ยนกระจกตา ตาแตก เย็บตา ในส่วนที่ว่าจะมองเห็นได้เหมือนเดิมไม่มีแล้ว จะเป็นภาพลางหรือใด ๆ ก็แล้วแต่ต้องมารอลุ้น แต่ว่า จะกลับมาเหมือนเดิมไม่มีแน่ ๆ ที่หมอระบุมา จึงต้องการให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ต้องมารับผิดชอบน้อง เพราะน้องโดนครั้งนี้ไม่ใช่เด็กเล่นกันแล้วพรุ่งนี้หาย น้องต้องรักษาแบบนี้ไปอีกเป็น 10 ปี ต่อไปก็ไม่สามารถไปทำงานหรืองานราชการอะไรได้อีก จึงอยากให้มีการเยียวยาเรา ทั้งทางโรงเรียนและผู้ปกครองของ ด.ช.อ้วน ที่เป็นคนก่อเหตุ


ด.ช.เมฆา พุฒทอง อายุ 14 ปี เล่าว่า “ตอนนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างโรงเรียน ขณะนั้นได้ยินเสียงคนเรียก ก็เลยหันไป ก็โดนยิงเข็มหมุดเป่าใส่มาเข้าที่ตาเลย โดยเป่าใส่กระบอกขาเต็นท์แล้วมาโดนลูกกระตา ตอนนี้ตามองไม่สว่าง มองไม่เห็นเลย ตอนกลางคืนจะปวดมาก เรียนอยู่ที่ ร.ร.เพ็ชรรัตน์ราชสุดา ถูกกลั่นแกล้ง ไม่เคยโกรธเคืองกันมาก่อน แต่มาโดนยิงใส่ตา ”


ขณะที่ นายไชยา พุฒทอง อายุ 39 ปี พ่อของเด็ก กล่าวว่า ต้องการความรับผิดชอบจากพ่อแม่เด็กที่กระทำกับลูกของตนเอง ที่จะต้องพิการแบบนี้ไปตลอดชีวิต ส่วนเรื่องคดีความก็ให้ดำเนินการไป ดังนั้น ครอบครัวคนที่ทำต้องมาเยียวยากับเรื่องนี้ เพราะตนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งทางพ่อแม่ของเด็กที่ก่อเหตุ ตอนนี้ยังไม่เคยมาดูแลอะไรเลย  อยากให้พ่อแม่เด็กที่กระทำ และทุกส่วนทุกฝ่ายออกมารับผิดชอบ กับสิ่งที่ลูกตนเองถูกกระทำครั้งนี้


ขณะเดียวกัน พ่อแม่ของ ด.ช.เมฆา ฯ ได้นำคลิปเสียงของญาติฝั่งของเด็กที่เหตุลูกข่มขู่อ้างว่า สนิทกับ อบต.และตำรวจ ซึ่งในคลิปเสียง ระบุว่า “ฝากบอกญาติของเด็กลูกหลานใคร ที่ว่าถูกยิงลูกกระตา บอกว่า ลูกหลานยายมวล หนอง ซอยบ้านยายติ๊ก มีอะไร ฝากบอกเค้าด้วยนะ ถ้าเดินเรื่องเดินให้ดี ๆ เพราะว่า เค้ามีคนสนิททำงานอยู่ที่ อบต. ก็เลยบอกว่า จะมาเกี่ยวอะไร หนูไม่ใช่ญาติเค้าจะไปบอกทำไม”


อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เดินทางไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุ แต่เนื่องจากเป็นวันหยุด จึงไม่สามารถเข้าไปดูยังจุดที่เกิดเหตุได้ โดยที่บ้านของเด็กผู้เสียหาย มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องมาเยี่ยมเด็กที่ประสบเหตุครั้งนี้ ส่วนทางด้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านทัพไทย ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่า ขณะนี้คดีที่ผู้เสียหายเดินทางเข้าแจ้งความไว้ เมื่อวันที่ 15 ม.ค.67 อยู่ระหว่างแจ้งประสานกับผู้ปกครองของเด็กที่ก่อเหตุ เพื่อมาพูดคุยเจรจาไกล่เกลี่ย หรือสอบสวนเพิ่มเติม ต่อไป


————————–
ข่าว-ภาพโดย/เด่นชัย วิสุทธิ์วุฒิพงษ์ ,สมศักดิ์ ปัญญาสัย ทีมข่าวสระแก้ว

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

Picture of ธนภัท กิจจาโกศล

ธนภัท กิจจาโกศล

"ธนภัท กิจจาโกศล" ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สระแก้ว "ประสบการณ์ยาวนานกับงานสื่อสารมวลชนระดับประเทศ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จับงานด้านข่าว สกู๊ปและรายงานพิเศษ กว่า 22 ปี มุ่งสื่อสารความจริงและข่าวสารที่เป็นธรรม สู่ประชาชนในภูมิภาค ด้วยจรรยาบรรณของฐานันดรที่ 4 เพื่อสร้างความโปร่งใสการรับรู้ข่าวสารของสังคม"