X

‘พิธา’ ขอ ‘นายกฯ’ กางไทม์ไลน์แก้ไฟป่า-ฝุ่นพิษ ชี้ “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” (มีคลิป)

เชียงใหม่ – นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชี้ สถานการณ์ไฟป่า-ฝุ่นพิษ ปีนี้ สายเกินป้องกัน ต้องเร่งบรรเทาผลกระทบประชาชน ฝากนายกรัฐมนตรี กางไทม์ไลน์แก้ปัญหาให้ชัด เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างสอดประสาน แนะใช้ข้อมูลจาก NARIT-GISTDA คาดการณ์จุดความร้อน เตรียมทีมดับไฟป่าให้พร้อม

วันที่ 17 มีนาคม 2567 ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยหลังจบภารกิจ ลงพื้นที่เรียนรู้และรับฟังปัญหาการจัดการไฟป่า เพื่อรับประสบการณ์ตรงจากทีมอาสาดับไฟป่าในพื้นที่ และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ว่า

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาไฟป่าและฝุ่นพิษได้ โดยเฉพาะภาพถ่ายดาวเทียม จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของปัญหา สามารถนำมาวิเคราะห์สถิติ และคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่า ไฟป่าจะเกิดขึ้นที่จุดใดบ้าง ฝุ่นพิษ PM2.5 ในพื้นที่ต่าง ๆ จะรุนแรงมากน้อยเพียงใดในช่วงสัปดาห์นี้ และจะบรรเทาลงเมื่อใด

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือยิงเลเซอร์ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ เพื่อวัดฝุ่นพิษ PM2.5 ว่ามีความเข้มข้นมากน้อยเพียงใด มีขอบเขตกว้างและสูงแค่ไหน ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลออกนโยบายที่เท่าทันและแม่นยำต่อสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ NARIT และ GISTDA มีองค์ความรู้และสามารถผลิตเครื่องมือต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงเป็นเรื่องที่ดีและต้องให้การสนับสนุนกันต่อไป

เมื่อถามว่า เมื่อได้รับฟังปัญหาแล้ว มีสิ่งใดที่อยากฝากไปถึงนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า อยากฝากให้นายกฯ ระบุไทม์ไลน์การแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ในระยะต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น ระยะสั้นภายในสัปดาห์นี้จะแก้ไขเรื่องอะไร ภายในเดือนหน้าซึ่งคาดการณ์จากสถิติได้ว่า คุณภาพอากาศของภาคเหนือจะย้ำแย่ที่สุด รัฐบาลจะแก้ไขอะไรบ้าง รวมถึงในปีหน้ามีแผนการจะแก้ไขอะไร

หากรัฐบาลมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน ข้าราชการ ภาคประชาสังคม และภาคส่วนต่าง ๆ ก็จะสามารถให้ความร่วมมือและเดินหน้าไปพร้อมกันได้ แต่ที่ผ่านมาตนยังไม่เห็นไทม์ไลน์ที่ชัดเจนมากนัก ภาคส่วนต่าง ๆ จึงไม่ทราบว่าต้องให้ความร่วมมืออย่างไร ในมิติใดบ้าง

นายสพิธา กล่าวอีกว่า สถานการณ์ฝุ่นพิษในขณะนี้ สายเกินจะป้องกันที่ต้นเหตุได้แล้ว รัฐบาลจึงต้องเร่งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนแบบเฉพาะหน้าไปก่อน เช่น จัดให้มีหน้ากาก N95 และเครื่องฟอกอากาศในราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ แต่สามารถใช้ภูมิปัญญาของประเทศไทยได้ เช่น สถาบันการอาชีวศึกษาต่าง ๆ มีศักยภาพที่จะทำเครื่องฟอกอากาศได้แล้ว นอกจากนี้ยังต้องจัดให้มีห้องปลอดฝุ่น โดยเฉพาะในโรงเรียนเด็กเล็กและสถานพยาบาลต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มสรรพกำลังบุคลากรที่จะมาช่วยดับไฟป่า สิ่งเหล่านี้รัฐบาลสามารถทำได้เลยภายในระยะสั้นสัปดาห์นี้

ส่วนในเดือนหน้า ซึ่งจากสถิติ สถานการณ์ไฟป่าและฝุ่นพิษ น่าจะรุนแรงที่สุด สิ่งที่รัฐบาลจะทำได้ คือ การนำข้อมูลของ GISTDA NARIT และกรมอุตุนิยมวิทยา มาวิเคราะห์ย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งจะสามารถคาดการณ์ได้เลยทันทีว่าพื้นที่ใดมีโอกาสเกิดไฟป่าบ้าง เพราะส่วนใหญ่จุดความร้อนมักจะเกิดการไหม้ซ้ำซาก รัฐบาลสามารถเตรียมการสร้างธนาคารน้ำไว้ในพื้นที่ใกล้ เคียงเพื่อให้ทีมดับไฟป่าเข้าไปใช้งานได้ทันที หากทำได้เช่นนี้ สถานการณ์ในปีนี้ก็น่าจะทุเลาลงไปได้

ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้ว่า ปัจจัยสำคัญต่อการดับไฟป่าคือ การลำเลียงน้ำและคนเข้าไปให้ทันเวลา จึงต้องเข้าใจแบบแผนของไฟ เพื่อให้เกิด Economy of Speed หรือการไปให้ถึงก่อนที่ไฟจะลุกลาม และ Economy of Scale หรือการขยายทีมในการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทุกจุดในเวลาพร้อม ๆ กัน รวมถึงการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด สถานการณ์ไฟป่าก็จะทุเลาลง และจะกลายเป็นองค์ความรู้ที่สามารถขยายไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงในประเทศเพื่อนบ้านได้ด้ว

อย่างไรก็ตาม นายพิธา บอกว่า เข้าใจว่า ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายและงบประมาณ ทำให้รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เต็มที่ในปีนี้ แต่ในระยะยาว ต้องขอฝากนายกฯ ประเมินด้วยว่า จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี เช่น ทำไมผู้ว่าราชการจังหวัดใน 10 จังหวัดภาคเหนือ ถึงไม่กล้าประกาศเขตภัยพิบัติ เป็นเพราะเกรงกลัวหรือไม่ว่า ถ้าประกาศแล้ว จะเท่ากับดูแลพื้นที่ไม่ดี ส่วนเรื่องงบประมาณ ที่รัฐบาลอนุมัติงบฯ กลางก้อนใหม่ กว่า 272 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นพิษโดยเฉพาะ เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องรอติดตามต่อไปว่า จะสามารถเบิกใช้งานได้อย่างทันท่วงทีกับสถานการณ์หรือไม่

นายพิธา ยังชี้แจงถึงการลงพื้นที่ ว่า เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ตามหน้าที่ในฐานะ ส.ส. เพื่อรับฟังปัญหาจากคนหน้างานจริง ดังคำกล่าวที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ได้เห็นของจริง ได้สัมผัสถึงไอความร้อนและสะเก็ดไฟได้เห็นอุปกรณ์ดับไฟที่ต้องดัดแปลงมาจากอุปกรณ์อื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ฟังข้าราชการมาอธิบายในคณะกรรมาธิการ 10 ครั้งก็ไม่เข้าใจ ต้องมาเห็นหน้างานด้วยตัวเอง ยืนยันว่า คุ้มค่ากับเวลาแน่นอน

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

Picture of ลักขณา สุริยงค์

ลักขณา สุริยงค์

ทำหน้าที่สื่อมวลชนมาเกือบ 30 ปี ทั้งงานสายข่าวและจัดรายการทีวี-วิทยุมานับไม่ถ้วน "ไม่เป็นกลาง แต่เป็นธรรม พร้อมนำเสนอความจริง"