ปัญหาที่ท้าทายของ “กรมชลประทาน” กับการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงแจ้งเตือนการเกิดอุทกภัยใน “พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง”
พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ถือเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และการเกษตรของประเทศไทยในขณะเดียวกันผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ย่อมส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศ “ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์” ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน ได้กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างว่า “พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง เป็นพื้นที่กรมชลประทาน ต้องเผชิญกับปัญหาด้านการบริหารจัดการน้ำที่ซับซ้อน ยกตัวอย่าง น้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่ที่ผ่านมาทั้ง 2 ระลอก น้ำลงเขื่อนภูมิพลทั้งหมด ไม่มาลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง แม่น้ำวังก็มีเขื่อนกิ่วลมกักเก็บน้ำ แม่น้ำน่านก็มีเขื่อนสิริกิติ์กักเก็บน้ำ ปัญหาก็มีแค่ลุ่มน้ำยมที่ไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำด้านบน พอฝนตกที่แพร่ก็มาท่วมที่สุโขทัย แล้วมวลน้ำนี้ก็ไหลมาที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
ประเด็นหลักที่ต้องนำมาพิจารณาบริหารจัดการน้ำอย่างถูกวิธี ต้องดูว่าต้นน้ำต้องกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับเจ้าพระยาตอนล่าง มันเหมือนมี 4 แควมาบวกเป็นลำน้ำเดียว และน้ำทางภาคเหนือ ประกอบด้วย ปิง วัง ยม น่าน ทั้งหมดต้องผ่านลำน้ำนี้ออกสู่อ่าวไทย ส่วนใหญ่ถ้าเขื่อนจัดเก็บได้ทั้งหมด ตอนกลางของท้ายเขื่อนก็ต้องมาบริหารจัดการน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ แต่ปัญหาอยู่ที่เส้นทางของน้ำ ถ้าน้ำเหนือมากกว่าศักยภาพในการกักเก็บอาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการ และทุกวันนี้ยังใช้ระบบชลประทานในการระบายน้ำอยู่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีเขื่อนเจ้าพระยาที่จังหวัดชัยนาทเป็นตัวบริหารจัดการ หน่วง ระบาย แต่เขื่อนเจ้าพระยาไม่ใช่เขื่อนกักเก็บน้ำ มันทำหน้าที่หน่วง และทดน้ำเท่านั้น จึงต้องใช้ระบบชลประทานผันน้ำเข้าสู่ฝั่งตะวันออก ฝั่งตะวันตก เพื่อลดผลกระทบที่จะระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงไป แม้จะมีคลองชลประทานช่วยในการระบายน้ำ แต่ก็มีข้อจำกัด คลองชลประทานมีลักษณะคือต้นใหญ่ ปลายเล็ก จึงไม่สามารถเอาเข้าได้เต็มศักยภาพได้ ถ้าปล่อยเต็มที่ก็จะไปท่วมในพื้นที่ ถ้ามองจากสถิติ 60 ปี ของการระบายน้ำใต้เขื่อนเจ้าพระยามีเพียง 3 ปีที่ระบายน้อยกว่า 700 ลูกบาศก์เมตรต่อนาที นี่เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดการท่วมซ้ำซาก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กรมชลประทานได้ดำเนินการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่นี้อย่างบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างความสมดุลในการใช้น้ำ ด้วยหลักการบริหารน้ำคือ ต้นกักเก็บน้ำ กลางหน่วงน้ำ ปลายระบายน้ำ ท้ายที่สุดแล้วการสร้าง Flood way เพื่อผันน้ำเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าเจาะเรื่องน้ำท่วม แนวทางคือ ทำอย่างไรให้ไม่ให้น้ำทั้ง 4 แคว ต้องผ่านลำน้ำสายเดียวเพื่อออกสู่อ่าวไทย นั่นหมายความว่า ต้องพัฒนาเรื่อง Flood way หรือทางระบายน้ำ เพื่อระบายน้ำฝั่งตะวันออกหรือฝั่งตะวันตก ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบที่จะเกิดกับคนในพื้นที่และสิ่งแวดล้อม โครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องเป็นลักษณะของนโยบาย แต่ระหว่างนี้กรมชลประทานก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงเดินหน้าพัฒนาแนวทางที่ช่วยแก้ปัญหา ทั้งการพัฒนาพื้นที่หน่วงน้ำหรือแก้มลิงให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้ใช้พื้นที่ชลประทานเป็นพื้นที่แก้มลิงตัดยอดน้ำก่อนที่จะผ่านไปกรุงเทพฯ แต่การใช้พื้นที่แก้มลิง ก็ติดปัญหาด้านกฎหมาย จำเป็นต้องพัฒนาขอบเขตให้มีความชัดมากขึ้น อย่างลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมีแก้มลิงอยู่ประมาณ 1 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของชลประทาน แต่อำนาจบริหารจัดการเอาน้ำเข้าทุ่ง หรือตัดยอดน้ำไปท่วมพื้นที่ ทางด้านกฎหมายยังไม่ชัดเจนเท่าไร ควรกำหนดเป็นรูปของผังน้ำว่าพื้นที่ตรงนี้ระบายหรือพื้นที่น้ำขัง เพราะการปล่อยน้ำไปขังในพื้นที่ก็กระทบต่อจุดที่ท่วมเยอะแน่นอน ส่วนการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำ 10 ทุ่ง เศรษฐกิจ ได้แก่ ทุ่งเจ้าพระยา ทุ่งบางบาล ทุ่งเชียงราก ทุ่งผักไห่ ทุ่งบางกุ่ม ทุ่งบางกุ้ง ทุ่งโพธิ์พระยา ทุ่งบางแก้ว ทุ่งบางเหี้ย และทุ่งพระยาบันลือ เป็นพื้นที่รับน้ำนองเพื่อชะลอน้ำหลากและลดผลกระทบต่อพื้นที่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมาตรการในการบริหารจัดการน้ำที่ดำเนินการอยู่
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทานในพื้นที่ ทั้งการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ และสถานีสูบน้ำเพื่อควบคุมการไหลของน้ำ หรือการพัฒนาระบบผันน้ำเพื่อระบายน้ำออกจากพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญก็เป็นสิ่งที่กรมชลประทานทำอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เจ้าพระยาตอนล่างใช้อาคารบังคับน้ำช่วยในการระบายน้ำเข้าฝั่งตะวันออก ฝั่งตะวันตก ระบายมาตามคลองย่อยเส้นต่างๆ และระบายลงสู่ทะเล แต่พื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยเฉพาะตั้งแต่ปทุมธานี นนทบุรี ลงมา ตอนนี้มีปัญหาเรื่องพื้นที่ลุ่มต่ำ เวลาฝนตกในพื้นที่ จะไม่สามารถระบายออกแม่น้ำได้เอง จำเป็นต้องใช้สถานีสูบน้ำมาช่วย เครื่องสูบน้ำจะหยุดทำงานไม่ได้ กรุงเทพฯ อยู่ได้ด้วยเครื่องสูบน้ำ กรณีฝนตกหนัก ในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ริมคลองก็ต้องมีเครื่องสูบน้ำทั้งหมด ในขณะที่อาคารชลประทานส่วนใหญ่สร้างขึ้นเพื่อส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตร จำเป็นต้องปรับปรุงอาคารให้เหมาะสมกับสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน และพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะแหล่งกักเก็บน้ำต้นน้ำ บางที่ไม่มี อย่างที่เชียงราย น้ำจากแม่น้ำกก ยังไงก็ต้องไหลผ่านเชียงราย ถ้าน้ำเยอะ น้ำไม่รู้จะไปทางไหนก็ท่วม หลักการบริหารจัดการน้ำง่ายๆ คือ น้ำต้องมีที่อยู่และมีที่ไป
กรมชลประทานมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการน้ำ และการป้องกันอุทกภัย แต่ไม่ได้มีภารกิจหลักในการแจ้งเตือนการเกิดอุทกภัยแก่ประชาชนโดยตรง แต่มีหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์น้ำแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบและประชาชนทั่วไป เพื่อนำไปใช้ในการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น กรมชลประทานจะวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำในระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ และข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา แล้วจึงจัดทำรายงานสถานการณ์น้ำรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน แจ้งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ เรามุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และทันต่อสถานการณ์ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันอุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพ การรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชน ก็ควรติดตามข้อมูลจากหลายแหล่ง และเตรียมพร้อมรับมือตามคำแนะนำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด” “ดร.ธเนศร์ กล่าวทิ้งท้าย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: