ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 จ.ตรัง หนุนเกษตรกรใช้พื้นที่ว่างปลูกกระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสน ม่วงจัมโบ้ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ ได้ดอกใหญ่ เนื้อเยอะ เก็บเกี่ยวเร็ว แถมมีสรรพคุณสูง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูงควรถามหา แถมขายได้ราคาดีกว่ากระเจี๊ยบทั่วไป
กระเจี้ยบแดง : วันนี้(25 พฤศจิกายน 2567) เวลา 09.00 น. ที่ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 จ.ตรัง นางวรรณา พรหมบุญทอง ผู้อำนวยการศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 จ.ตรัง นำนักท่องเที่ยว เกษตรกรหน้าใหม่มาช่วยกันเก็บเกี่ยวผลกระเจี๊ยบสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์กำแพงแสน ม่วงจัมโบ้ ที่มีสีแดงเข้มจนออกไปทางสีม่วง ซึ่งมีลำต้นเตี้ย แข็งแรง กลีบเลี้ยงหนา ยาว ใหญ่ มีปริมาณเนื้อเยอะ ให้ผลผลิตสูง ปลูกง่าย เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว จำหน่ายได้ราคาดีกว่ากระเจี๊ยบทั่วไปถึง 2 เท่า
โดยศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 นำมาปลูกบนแปลงสาธิต เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่หรือกว่า 3,000 ต้น ใช้เวลาปลูกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม หรือประมาณ 130-150 วัน ก็สามารถเก็บดอกกระเจี๊ยบมาทำน้ำดื่มสมุนไพร แยม และชากระเจี๊ยบได้ ส่วยเมล็ดพันธุ์ ก็จะนำมาแจกจ่ายให้กับเกษตรกรที่มาขอรับไปเพาะปลูกภายในครัวเรือนและปลูกเพื่อจำหน่ายผลสดต่อไป ซึ่งเมล็ดพันธุ์กระเจี๊ยบแดงสายพันธุ์กำแพงแสน ม่วงจัมโบ้จะแจกฟรี
สำหรับกระเจี๊ยบแดงมีรสชาดเปรี้ยวอมหวาน ให้สีแดงเข้มกว่ากระเจี๊ยบสายพันธุ์พื้นบ้าน ใช้ประโยชน์ได้ทั้งแต่ใบยอดอ่อนก็นำไปแกง ดอกหรือที่เรียกว่ากลีบเลี้ยง นิยมนำมาทำน้ำดื่ม ดับกระหาย หรือนำไปทำแยมรับประทานกับขนมปังก็อร่อยดี หรือทำกระเจี๊ยบอบแห้งเก็บไว้ใช้ก็เก็บได้นานนับปี ซึ่งกระเจี๊ยบแดงมีสารแอนโทไซยานินสูง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ลดภาวะเสี่ยงโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง และยับยั้งเนื้องอก ทั้งยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของเม็ดเลือดแดงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ส่งผลให้กระเจี๊ยบแดงยังเป็นที่ต้องการของตลาดสูง แต่มีเกษตรกรปลูกน้อย ทำให้กระเจี๊ยบแดงทั่วไป ราคาขายอยู่ที่กิโลละ 20-30 บาท ส่วนกระเจี๊ยบแดงม่วงจัมโบ้กิโลละ 40-60 บาท ส่วนใหญ่นิยมนำมาทำน้ำสมุนไพรขายตามร้านอาหารและโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีการสั่งซื้อจากทางภาคเหนือ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 จ.ตรัง จึงแนะเกษตรกรเข้ามาศึกษาดูงานและติดต่อขอเมล็ดพันธุ์ไปปลูกได้ในวันและเวลาราชการ ส่วนคนที่มีพื้นที่น้อย ก็สามารถปลูกกระเจี๊ยบแดงม่วงจัมโบ้ในกระถางได้
ข่าวน่าสนใจ:
- ตรัง "โลกเปลี่ยน เราไม่เปลี่ยน" บอกรักทะเลด้วยสองมือ ณ หาดฉางหลาง ทะเลตรัง ก้าวขา-พาสองมือเก็บขยะทะเล รังสรรค์งานศิลป์
- ตรัง จับแล้วมือค้อนทุบหัวฆ่าโหดพ่อค้าปลาสวยงาม กลางงานลอยกระทงกันตัง ทิ้งศพกลางงาน หลักฐานชัด จุดทิ้งมือถือ-โผล่กดเงินสดผู้ตาย
- "ประเสริฐ รักไทย” ประกาศชน “บุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ” สู้ศึกชิงเก้าอี้ อบจ.ตรัง
- ตรัง ร้านอาหารผวา!! แก๊งคอลเซ็นเตอร์ป่วน อ้างสั่งอาหารหรู "พระกระโดดกำแพง" หลอกร้านดังเกือบเสียเงินแสน
นางวรรณา พรหมบุญทอง ผู้อำนวยการศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 จ.ตรัง กล่าวว่า กระเจี๊ยบแดงม่วงจัมโบ้ ปลูกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งจะให้ผลผลิตในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ใช้ปลูกเป็นแปลงสาธิตให้เกษตรกรเข้ามาศึกษาเรียนรู้วิธีการปลูก ข้อดีของกระเจี๊ยบแดงม่วงจัมโบ้คือ มีกลีบเลี้ยงที่หนา ยาวและให้ผลผลิตที่รวดเร็ว ด้วยความที่มีดอกใหญ่จึงทำให้ได้น้ำหนักเยอะ จึงส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อให้มีรายได้จากการจำหน่ายดอกกระเจี๊ยบ ซึ่งนำไปทำน้ำหรือทำแยมได้
สำหรับกระเจี๊ยบแดงมีสารแอนโทไซยานินสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยในการยับยั้งการเกิดเซลส์มะเร็ง มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทำน้ำดื่มชุ่มคอ ลดเสมมะ ลดความดัน ลดไขมันในเส้นเลือดได้.
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: