ชัยภูมิ – ประเมินความคาดหวังถึงรัฐบาล เร่งออกมาตรการพลิกวิกฤตเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตโลก ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2568!
( 18 ธ.ค.67 ) ขณะที่ จ.ชัยภูมิ บรรยากาศในช่วงที่จะมีการเปิดเวที ISAN NEXT ในวันที่ 20 ธ.ค.67 ที่ราชภัฎโคราช หรือ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา จัดงาน ISAN NEXT พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก ระดมไอเดีย เปิดมุมมองสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมในภาคตะวันออกฉัยงเหนือ(อีสาน) ขับเคลื่อน ศก. กลุ่มหอการค้า นักธุรกิจ ภาคอีสาน ที่ยังมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมชี้ทาง มองอนาคต โอกาสประเทศไทย ในครั้งนี้ด้วย
ซึ่งในส่วนพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ตัวแทนนักธุรกิจภาคเอกชนหอการค้า จ.ชัยภูมิ โดยมีนางสาวปทิตตา โชคสุวัฒนสกุล ประธานหอการค้าจังหวัดชัยภูมิ และ นายสิทธิพล สุทธิศักดิ์ภักดี กรรมการหอการค้าไทย และประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าจังหวัดชัยภูมิ ได้เปิดแถลงมุมมองอนาคตโอกาสประเทศไทย พลิกเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตโลก ในครั้งนี้ด้วยว่า
ในภาพรวมเศรษฐกิจอีสาน และที่ จ.ชัยภูมิ ชัยภูมิ โดยเฉพาะในรอบก่อนจะสิ้นปี 67 นี้ ในส่วนของ จ.ชัยภูมิ ก็ไม่ต่างจากภาพรวมในทั่วประเทศทั้งในด้านจีดีพี ในปี 67 นี้ยังไม่ได้ก้าวกระโดดเท่าที่ควร โดยเฉพาะภาพรวมเศรษฐกิจของ จ.ชัยภูมิ ในภาคการเกษตร และการท่องเที่ยว เป็นหลัก รวมทั้งราคาภาคเกษตร ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ในปีนี้ ราคายังไม่ดีเท่าที่ควร ที่จะทำให้ภาคกำลังซื้อการจับจ่าย ยังอยู่ในระดับต่ำที่อยากจะให้มีวิธีปรับให้สูงขึ้นถึงระดับกลางให้มากขึ้น
ซึ่งในขณะนี้ในระดับกลางเองในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ยังบอบช้ำ กับภาวะเศรษฐกิจฝืดในปัจจุบัน ที่มีความจำเป็นต้องรอการลงมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ควรจะมีออกมาเป็นระยะๆให้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการเงินดิจิทัล ที่ออกมาในลอตแรกแล้ว ที่มีความหวังว่าจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ แต่การหมุนเงินในลอตแรกไปอยู่ในกลุ่มเปราะบาง การหมุนเงินในภาคเศรษฐกิจในภาพรวมจึงยังไม่เกิดขึ้น และลอตที่สองและสาม ที่จะออกมาประชาชนในพื้นที่ก็หวังว่า จะออกมาช่วยเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจที่มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้จริงๆจังๆได้ โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกลาง ที่จะได้เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เกิดโครงการในลักษณะโครงการคนละครึ่ง ที่จะเป็นชื่อโครงการหรือไม่เปลี่ยนชื่อ ไม่ใช่ประเด็น ซึ่งการที่จะมีการใช้เงินในรูปแบบคนละครึ่งออกมา จะทำให้มูลค่าเงิน 1 หมื่นบาท มีมูลค่าเพิ่มกลายเป็น 2 หมื่นบาท ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ หมุนออกไปจะทำให้พลังของเงินที่เกิดขึ้นตามมาได้มหาศาลมากขึ้น ซึ่งจะทำให้จีดีพีของประเทศไทยโตเกิน 3 % ตามเป้าหมายที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งไว้ได้
ที่ในภาพรวมและทิศทางพลิกวิกฤตเศรษฐกิจต่อไปในปีหน้า พ.ศ.2568 ภาคธุรกิจหอการค้าจังหวัดชัยภูมิ มีความคาดหวังจากงานที่จะจัดระดมสมองในวันที่ 20 ธ.ค.67 นี้ที่โคราชนี้ด้วย ที่อยากเห็นภาคสินค้าการเกษตร การท่องเที่ยว ส่งเสริมให้ไปได้ดีมากขึ้น ซึ่งในปี 67 นี้ จ.ชัยภูมิ ได้เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังมีประเด็นที่ยังไม่สามารถให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามา พักค้างคืนในจังหวัดให้ได้มากพอสมควร ซึ่งในส่วนพื้นที่เองก็ยังมีความพยายามปรับเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้เต็มรูปแบบให้มากขึ้นและให้ต่อเนื่องยาวไปถึงปีหน้า 2568 นี้ด้วยอยู่แล้ว
ซึ่งในส่วนภาค SME ในพื้นที่เอง ก็ยังหวังรอจากภาครัฐบาล ที่อยากให้มีมาตรการลงมาช่วยส่งเสริมในทุกพื้นที่ได้โดยตรงให้มากขึ้น ซึ่งตอนนี้มาตรการที่จะลงมาช่วยในกลุ่ม SME ในกลุ่ม NPL หรือในกลุ่มที่กำลังประสบปัญหาของธุรกิจ รวมทั้งในกลุ่มที่ยังไม่ประสบปัญหาที่คาดว่าจะสู้ต่อไปได้อีกไม่นานจากสภาพเศรษฐกิจในประเทศในปัจจุบัน ที่จะต้องมีมาตรการออกมาช่วยในระยะยาวในปี 2568 ให้มากขึ้นด้วย ซึ่งในกลุ่มเหล่านี้จะต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือทางเศรษฐกิจให้ทันท่วงทีแล้ว ที่ทางรัฐบาลจะต้องเร่งหาแนวทางออกมาช่วยเหลือเป็นการด่วนด้วย
เพื่อที่จะทำให้ภาพรวมที่จะมีภาคแรงงานในกลุ่ม SME เหล่านี้ที่มีการจ้างงาน ที่มากพอสมควร ซึ่งถ้ากลุ่มเหล่านี้ล้มหายลงไปอีก ผลกระทบจะเกิดวิฤตทางเศรษฐกิจแบบโนมิโนอย่างรวดเร็วจะตามมาอีกจำนวนมากด้วย
ซึ่งในภาพรวมในภาคธุรกิจเอกชน หอการค้า จ.ชัยภูมิ ที่อยากจะฝากความหวังไว้กับทางรัฐบาล ในปีหน้า 2568 นี้ ทั้งเรื่องเงินดิจิทัล ในกลุ่มชนชั้นกลางที่รัฐบาลควรจะเร่งปล่อยออกมาในรูปแบบคนละครึ่งออกมาได้แล้ว ส่วนชนชั้นสูงในรูปแบบเงิน 1 หมื่นบาท คงไม่มีประโยชน์แต่กลุ่มเหล่านี้น่าจะใช้สิทธิ์ทางด้านภาษีออกมาช่วยเพื่อให้เกิดการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้ทั้งระบบตามมากขึ้นได้อีกด้วย
ที่หวังว่าในปี 2568 นี้ ในภาพรวมภาคการเกษตร ท่องเที่ยว การส่งออกจะสามารถมีความเข้มแข็งดีขึ้นตามมาตามลำดับได้ หากทางรัฐบาลมีแนวทางดังกล่าวที่ออกมาให้ชัดเจนเร่งด่วนทันท่วงทีให้มากขึ้น
รวมทั้งในเรื่องการที่จะปรับค่าแรงของรัฐบาล ที่จะปรับขึ้น 400 บาท ในทั่วประเทศนั้น ทางกลุ่มหอการค้าไทย และ จ.ชัยภูมิ มองว่า ควรจะปล่อยให้เป็นกลไกของไตรภาคีในแต่ละจังหวัดแต่ละพื้นที่มากกว่า ซึ่งในแต่ละจังหวัดจะรู้บริบทภายในแต่ละจังหวัดเอง อย่าง จ.ชัยภูมิ มีการประชุมไตรภาคีของจังหวัดแล้ว ให้ไม่มีการปรับค่าแรงงาน ซึ่งในพื้นที่มีบริบทแล้วว่า ในการปรับขึ้นค่าแรงงาน ที่สูงขึ้น 400 บาท สิ่งที่จะเกิดผลกระทบขึ้นตามมาคือการเลิกจ้างงานแรงงานในพื้นที่จะมีคนตกงานตามมาอีกเป็นจำนวนมากขึ้นด้วย รวมทั้งจะทำให้เกิดการย้ายฐานการลงทุนของผู้ประกอบการต่างๆตามมาอีกจำนวนมาก ที่จะมีผลกระทบในภาพรวมในทั่วประเทศวิกฤตหนักตามมาได้อีกด้วย
ซึ่งการขึ้นค่าแรง ก็ควรจะเป็นไปตามคุณภาพแรงงาน ฝีมือแรงงานเองที่มีอยู่แล้ว ที่มีมาตรการฝีมือแรงงานที่มีคุณภาพมีค่าแรงสูงกว่า 400 บาท อยู่แล้ว แต่ถ้ามาปรับในภาพรวมเลยก็จะยิ่งเป็นการทำให้เกิดการปิดโรงงานย้ายฐานการลงทุนตามมาได้อีกจำนวนมากได้ ซึ่งทางหอการค้า จ.ชัยภูมิ ไม่ได้ขัดขวางการขึ้นค่าแรงงาน แต่การปรับค่าแรงควรจะเป็นไปตามกลไกของระบบตามความเหมาะสมของในแต่ละพื้นที่มากกว่า ที่ทางภาคธุรกิจเอกชนหอการค้าจังหวัดชัยภูมิ มีความคาดหวังว่าทางรัฐบาลในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในปีหน้า พ.ศ.2568 นี้ ควรจะเร่งดำเนินการแนวทางดังกล่าวให้เกิดมีความชัดเจนตามมาโดยเร็วให้มากขึ้นด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: