X

ชาวบ้านยังผวา บ้านสไลด์ตกน้ำบางปะกงตามกัน ไม่กล้าออกไปทำกิน

ฉะเชิงเทรา – ชาวบ้านยังผวา บ้านเลื่อนสไลด์ตกลงไปในแม่น้ำบางปะกงตามกัน ไม่กล้าออกไปทำมาหากินตามปกติ ระบุขาดรายได้หล่อเลี้ยงครอบครัวจากอาชีพหลักในการหาเคยมาทำกะปี สินค้าขึ้นชื่อจนถูกประพันธ์แต่งเป็นคำขวัญประจำถิ่นวันละหลายพันบาท เผยเคยมีบ้านไหลตกน้ำมาก่อนหน้าแล้ว 4-5 หลังนับแต่ในอดีต ทำบ้านที่อยู่ลึกเข้ามาไกลฝั่งแทบกลายเป็นบ้านริมน้ำแล้วในปัจจุบัน

ยังขยับลงต่อเนื่อง

วันที่ 20 ธ.ค.67 เวลา 11.30 น. นางน้อย เหมือนประสงค์ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/2 ม.2 ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้เดินนำพาผู้สื่อข่าวไปดูบ้านของตนเองที่ตั้งอยู่บริเวณริมแนวชายแม่น้ำบางปะกง ใกล้กับบ้านของนางพิมพ์ผกา ศิลปายะ อายุ 56 ปี เลขที่ 73 ม.2 ต.แสนภูดาษ บ้านหลังแรกที่ทรุดตัวพังทลายจนต้องใช้ค้อนปอนด์ทุบกระจกหนีเอาตัวรอดออกมาพร้อมกับสามีเมื่อคืนวานที่ผ่านมา ว่าบ้านของตนเองนั้นได้เริ่มมีการทรุดตัวตามกันไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นพังถล่มลงไปในแม่น้ำบางปะกง

เขตอันตราย

จนทางเทศบาลตำบลแสนภูดาษ ได้เข้ามาช่วยรื้อหลังคาชานเรือนริมน้ำออกไปให้บางส่วนแล้ว เพื่อลดน้ำหนักของตัวบ้าน ได้ระบุว่า หลังเกิดเหตุการณ์น้ำกัดเซาะชายตลิ่งจนมีบ้านพังทลายตกน้ำไป 1 หลัง และแตกร้าวทรุดตัวเอียงลงไปอีก 1 หลัง ทั้งยังมีบ้านที่อยู่ในแนวถูกกัดเซาะอีก 3 หลังนั้น ขณะนี้ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าที่จะออกไปประกอบอาชีพทำกิน เช่น การออกเรือไปลงอวนรอเคย ดักเคยมาทำกะปิ ซึ่งเป็นอาชีพหลักตามฤดูกาลที่น้ำเค็มหนุนของคนที่นี่ในทุกปี ตลอดจนการหากุ้งหาปลาในแม่น้ำด้วย

ออกเรือไม่ได้

เพราะเกรงว่าบ้านจะพังถล่มลงแม่น้ำตามกันไปอีก จึงต้องคอยดูแลเฝ้าระวังบ้านและทรัพย์สินของตนเองกันเอาไว้ก่อน โดยเมื่อคืนที่ผ่านมาตนเองถึงกับนอนไม่หลับเพราะเกรงว่าเรือจะถูกน้ำซัดลอยหายไป เพราะหลังโป๊ะท่าเรือในหมู่บ้านทรุดตัวพังถล่มหายไป ได้ทำให้ทุ่นลอยหนีออกจากฝั่งไปแล้ว และทำให้ชาวบ้านไม่มีท่าเทียบจอดเรือ จึงได้นำเรือไปผูกฝากไว้ยังที่อื่นแทน ขณะที่ทางเทศบาลตำบลแสนภูดาษ ได้มาบอกว่าจะทำการช่วยเหลือ กรณีเกิดภัยพิบัติหลังคาเรือนละ 9 พันบาท ซึ่งก็ยังดีที่จะได้นำมาซื้อตะปูไว้ซ่อมแซมบ้าน โดยที่เราไม่ได้เรียกร้องอะไร

อุปกรณ์ประมง

ขณะที่แนวตลิ่งที่พังทลายลงแม่น้ำไปนั้น ยังคงมีการทรุดตัว และทยอยพังทลายขยับลงไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ้านหลังที่ตกน้ำลงไปนั้น เจ้าของได้ใช้เงินทุนในการก่อสร้างไปจำนวน 5 ล้านบาท พร้อมกับได้มาซื้อที่ดิน 2 แปลงติดกันก่อนที่จะปลูกบ้านหลังนี้ขึ้นมาอีก 1 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหายประมาณกว่า 6 ล้านบาท โดยเจ้าของได้ให้ตนเองเป็นผู้ดูแล ซึ่งเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวได้มีการทำแนวเขื่อนป้องกันการกัดเซาะกั้นแนวริมตลิ่งไว้แล้วด้วย และได้มีการตอกเสาเข็มตรงส่วนเฉพาะตัวบ้านอีกจำนวน 40 ต้น ยังไม่สามารถต้านทานแรงกัดเซาะของกระแสน้ำได้เลย

หยุดออกหาเคย

ในคืนวันเกิดเหตุ (19 ธ.ค.67) ตนได้ยินเสียงบ้านลั่นดังเพี๊ยะ ก่อนที่จะมีเสียงดังตูมในขณะที่บ้านตกลงไปในน้ำ และยังมีเสียงดังโครมดังขึ้นตามมาอีกครั้ง จนทำให้ตนได้รีบเปิดประตูโดยที่ยังไม่ทันได้เอากลอนประตูออก แต่ต้องวิ่งชนประตูหนีออกมาเพื่อเอาชีวิตรอด ก่อนที่ตัวบ้านจะพังถล่มลงไปในน้ำทั้งหมดเลย ขณะที่คนในบ้านที่อยู่ติดกันนั้น ต้องทุบกำแพงหนีออกมาจากบ้านเช่นกัน ขณะนี้จึงได้แต่คอยเกาะรั้วคอยเฝ้ามองดูตัวบ้านที่ทยอยทรุดลง จะออกไปทำมาหากินก็ไม่ได้ เพราะต้องคอยเฝ้าระวังโดยเราไม่ทราบว่าบ้านจะสไลด์ลงไปตอนไหน ก็ยังไม่มีใครรู้ นางน้อย กล่าว

ทยอยทรุดตัวพังทลาย

และยังบอกต่ออีกว่า เวลานี้ชาวบ้านต้องขาดรายได้ไปอย่างน้อยประมาณวันละ 3 พันบาท หรือหากคิดเป็นกะปิหากได้วันละ 20 กก. ราคา กก.ละ 250 บาท รายได้จะหายไปวันละหลายพันบาท หากออกเรือไปรอเคยในช่วงฤดูกาลนี้เช่นเดียวกับในปีก่อนๆ จะได้ครั้งละประมาณ 30-40 กก. แต่ขณะนี้ทำอะไรกันไม่ได้เลย ยังไม่รวมสัตว์น้ำอื่นๆ ที่จะได้ติดอวนกลับมาด้วย ทั้งปลาและกุ้งแห กุ้งตะเข็บอีก ทุกอย่างล้วนเป็นรายได้ทั้งหมด นางน้อย กล่าว

บ้านแตกตกน้ำ

ขณะที่ นางพิม ทองสำฤทธิ์ อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/28 ม.2 ต.แสนภูดาษ กล่าวว่า ตนเองได้ยินเสียงบ้านที่พังถล่มลงน้ำไปลั่นครั้งแรก เมื่อเวลาประมาณตีสอง ซึ่งเป็นช่วงน้ำกำลังลงแห้งขอด โดยมีเสียงดังแรงมากออกไปไกล ก่อนที่จะพังถล่มหายไปทั้งแผงเลย แม้บ้านตนจะอยู่ลึกเข้ามาจากแนวตลิ่งกว่าบ้านหลังอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ก็ยังเกรงว่าการพังทลายจะลุกลามมาถึงยังตัวบ้านของตน เพราะก่อนหน้านี้ ที่ริมชายแม่น้ำแห่งนี้ ยังมีบ้านอีกจำนวน 4-5 หลังที่เคยพังถล่มตกน้ำหายไปนานแล้ว

นางพิม ทองสำฤทธิ์

จากเมื่อก่อนบ้านของตนนั้นอยู่ไกล ห่างจากชายแม่น้ำมามากถึงกว่า 40-50 เมตร แต่ปัจจุบันเหลือแค่เพียงประมาณ 6 เมตรเท่านั้นจนจะกลายเป็นบ้านริมน้ำแล้ว โดยคนที่บ้านพังทลายตกแม่น้ำไปก่อนหน้านั้น เป็นคนเก่าคนแก่ในพื้นที่ ซึ่งได้เสียชีวิตไปเกือบหมดแล้ว ส่วนลูกหลานนั้นต่างได้พากันแยกย้ายกันออกไปอยู่ยังที่อื่น เพราะบ้านพังตกลงไปในแม่น้ำหมดแล้ว ซึ่งที่ดินในน้ำก็ยังเคยมีโฉนดอยู่ นางพิม กล่าว

แนวแตกร้าวมุ่งตรงไปยังบ้านอื่น

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำขวัญของเทศบาลตำบลแสนภูดาษ คือ “แม่น้ำบางปะกงไหลผ่าน สามหมู่บ้านสงบสุข ร่วมสนุกวันสงกรานต์ พระคู่บ้านหลวงพ่อโต สินค้าโก้กะปิดี”

 

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

Picture of สนทะนาพร อินจันทร์

สนทะนาพร อินจันทร์

ลุยงานช่วยเหลือคนเดือดร้อนมาทั้งชีวิต อย่างไม่คิดเรียกสิ่งตอบแทน