นครพนม – งานนมัสการพระธาตุพนม อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ประจำปี 2562 หรืออีกนัยหนึ่ง คนอีสานดั้งเดิมจะเอิ้นว่า “บุญเดือนสาม” ปีนี้ตรงกับวันอังคารที่ 12 ก.พ.(ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3) – วันพุธที่ 20 ก.พ.(แรม 1 ค่ำ เดือน 3) รวม 9 วัน 9 คืน เป็นงานบุญประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนิกชนสองฝั่งไทย-ลาว สืบทอดกันมาแต่โบราณ..!!
โดยเฉพาะวันอังคารที่ 19 ก.พ.(ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) จะเป็นวันพระใหญ่คือ “วันมาฆบูชา” ที่ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เนื่องจากเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น กล่าวคือ พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ซึ่งในคัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่า ครั้งนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระภิกษุ 1,250 รูป ได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย พระภิกษุทั้งหมดนั้นเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง พระภิกษุทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3
ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4
ซึ่งในวันมาฆบูชาที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จะมีพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและลาว ประกอบพิธีเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุพนม ตามความเชื่อของชาวอีสานว่าหากใครได้มีโอกาสมาเวียนเทียนในวันสำคัญต่างๆ รอบองค์พระธาตุพนม หรือมากราบไหว้บูชา ถือเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จะทำให้มีความเจริญก้าวหน้า และอยู่เย็นเป็นสุข
และก่อนจะเริ่มงานนมัสการองค์พระธาตุพนมอย่างเป็นทางการ จะต้องมีพิธีอัญเชิญ”พระอุปคุต” ซึ่งในตำนานกล่าวว่าท่านเป็นพระอรหันต์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ใต้บาดาล โดยจะประกอบพิธีที่ริมแม่น้ำโขง บริเวณท่าเทียบเรือข้ามฟากไทย-ลาว เนรมิตว่าตรงริมแม่น้ำโขงแห่งนี้ เป็นบาดาลลึก ผู้จะลงไปอัญเชิญพระอุปคุตในปีที่ผ่านมา มีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดฯ นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนนายอำเภอ หรือหัวหน้าส่วนราชการ เป็นต้น มุดน้ำลงไป 3 ครั้ง ก่อนจะอุ้มพระอุปคุตจากใต้บาดาลส่งให้ผู้ที่รอรับอยู่ริมท่า แล้วมีขบวนนางรำจาก 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ นำแห่ขึ้นไปประดิษฐานยัง”วิหารหอพระแก้ว” บริเวณมณฑลวัดพระธาตุพนมฯ เพื่อคุ้มครองปกปักรักษา ป้องกันภยันตรายไม่ให้เกิดขึ้นตลอดงาน 9 วัน 9 คืน ซึ่งยึดถือปฏิบัติมายาวนานหลายร้อยปี เพราะเชื่อว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาก
ทำไมต้องอัญเชิญ”พระอุปคุต”มารักษาความปลอดภัยด้วยล่ะ?
ข่าวน่าสนใจ:
ผู้เขียนขอนำพาท่านนั่ง”ไทม์แมชชีน”ย้อนเวลาไปนู้น พ.ศ.200 ยุคสมัย”พระเจ้าอโศกมหาราช” ผู้ครองนครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือ”เมืองปัตนะ”ตอนใต้ของอินเดีย..!!)
คราวนั้นพระเจ้าอโศกฯ ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมาก ถึงขั้นนำ”หลักธรรม” ของพระพุุทธองค์มาเป็นนโยบาย ในการปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ ระบบนี้เรียกต่อมาว่า”ธรรมาธิปไตย” คือการเอาธรรมะเป็นใหญ่ในการปกครองประเทศนั่นเอง !!
“พระอุปคุต” หรือชื่อเต็มๆในทะเบียนบ้านว่า “พระกีสนาคอุปคุตมหาเถระ” เป็นบุตรของเศรษฐีเมืองมถุรา ริมฝั่งแม่น้ำยมนา (เกิดหลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพานแล้วถึง 200 ปี) หลังออกบวชในบวรพระพุทธศาสนา ได้บำเพ็ญธรรมตามรอยพระพุทธองค์ จนสำเร็จเป็น”พระอรหันต์” แล้วไปจำศีลบำเพ็ญธรรมต่อใต้ท้องทะเลลึก หรือ”สะดือทะเล”..!!
ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ก่อสร้าง”พระสถูปมหาเจดีย์” เป็นที่บรรจุ”พระบรมสารีริกธาตุ” จำนวน 84,000 องค์ พร้อมจะฉลองสมโภชเป็นเวลาถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แต่เกรงว่าขณะจัดงานมหามงคลนี้จะมีอันธพาลมาก่อกวน(เหมือนขี้เมาหน้าเวทีหมอลำในปัจจุบัน) จึงปรึกษาคณะสงฆ์ แล้วมีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า พระอุปคุตจำศีลอยู่ที่สะดือทะเล เป็นอรหันต์มีฤทธานุภาพมาก สามารถป้องกันโพยภัยได้ดีที่สุด พระเจ้าอโศกฯจึงแต่งตั้งพระภิกษุ 2 รูป ซึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญาสมาบัติเดินทางไปอาราธนา ด้วยการระเบิดน้ำเป็นทางเดินไปพบพระอุปคุต
หลังรับนิมนต์ก็ออกจากใต้บาดาล เดินทางมายังนครปาตลีบุตราชธานี พระเจ้าอโศกฯทอดพระเนตรเห็นพระอุปคุตแล้วรู้สึกหนักใจ เพราะร่างกายผอมแห้งเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง จึงใคร่ลองทดสอบสมรรถภาพ เพราะคนตัวบางร่างเล็ก จะมีแรงมากน้อยแค่ไหน
รุ่งเช้าขณะที่พระอุปคุตเดินบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ พระเจ้าอโศกฯทรงมีพระราชบัญชาให้ปล่อย”ช้างตกมัน” ไปไล่เหยียบไล่บี้ซะเลย พระอุปคุตเห็นช้างวิ่งไล่หลัง จึงเข้าญาณสมาบัติ อธิษฐานจิตโอมเพี๊ยงให้ช้างเชือกนั้น มีสภาพแข็งทื่อดั่งหินผา ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ พระเจ้าอโศกฯเจอทีเด็ดดังนั้น รีบคลุกเข่าขอขมาต่อพระอุปคุตเถระที่คิดล่วงเกินท่าน ถึงวันมงคลฤกษ์เริ่มพิธีสมโภชพระมหาเจดีย์เริ่มขึ้นปั๊บ “พญามาร” จิ๊กโก๋หน้าฮ้านก็มาตามนัดทันที..!!
พญามารตนนี้ มีชื่อตามบัตรประชาชนว่า “พญาวัสวดีมาลาธิราช” หากสืบประวัติย้อนหลังไปในสมัยพระพุทธเจ้า ยังมีพระชนมายุ ก็จะถึงบางอ้อว่าเป็นตนเดียวกันที่พยายามขัดขวางพระพุทธองค์ ขณะบำเพ็ญเพียรก่อนจะตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
พญามารต้องการทำลายงานสมโภชอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช งัดอิทธิฤทธิ์ออกมาโชว์ความเก๋า ด้วยการบันดาลให้เกิดลมพายุขนาดมหึมา ราวจะถล่มพสุธาให้บรรลัยในพริบตา พระอุปคุตเห็นก็แก้ไขสถานการณ์สำเร็จ แต่พญามารยังมีก๊อกสอง เนรมิตทั้งลมกรด ลมไฟบรรลัยกัลป์ และสารพัดลมอีกหลายรายการหวังให้พิธีล่มสลาย พระอุปคุตศิษย์พระตถาคต สามารถป้องกันเพทภัยได้หมด
พญามารไม่ยอมยกธงขาวดึงไพ่ใบสุดท้ายออกมาเล่น ด้วยการปรากฎร่างเป็นยักษ์เบ้อเร่อเท่อ หมายบดขยี้พระอุปคุตให้แหลกคามือ พระเถระเห็นว่าพญามารตนนี้มีใจบาปหยาบช้าสามานย์ มุ่งทำลายบุญกุศลต่างๆในบวรพระพทธศาสนา จึงบริกรรมคาถาเสก”สุนัขเน่าเหม็น” ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งน้ำเหลืองและหนอนชอนไชลอยไปแขวนคอพญามารจอมเกเร พร้อมอธิษฐานไม่ให้ผู้ใดถอดออกได้!!
พญามารทุกข์เจอไม้นี้ ยิ่งกว่าถูกค้อนตอกอก เพราะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับ”พวงมาลัยหมาเน่า” อุตส่าห์วิ่งไปขอความช่วยเหลือต่อ”ท้าวโลกบาลทั้ง 4″ ช่วยเอาออกให้หน่อยเหอะ ท้าวจตุมหาราชจนปัญญาส่ายหน้าเป็นพัดลม เพราะแก้ไขคำอธิษฐานของพระอุปคุตไม่ได้ พญามารไม่ละความพยายาม ซมซานไปหาเหล่าเทวดาอีกหลายท่าน ลามไปถึง”ท้าวมหาพรหม” ล้วนมีคำตอบเดียวคือ”ช่วยไม่ได้” หนทางเดียวที่ทำได้ คือต้องไปขอขมาต่อพระอุปคุตเถระเท่านั้น!!
มารจอมเกเรจนตรอกรำพึงรำพันว่า พระรูปนี้เป็นเพียงสาวกของพระพุทธองค์ ยังมีฤทธิ์เดชขนาดนี้ฯ ดวงตาเห็นธรรมจึงเกิดสำนึกในบาปที่ตนกระทำ แล้วอธิษฐานขอเป็นพระพุทธองค์ในอนาคตกาล ด้วยจิตอันแก่กล้าพระอุปคุตสดับรับฟังคำคร่ำครวญของพญามารได้ จึงกล่าวว่าท่านอย่าโกรธเราเลย เราทำด้วยด้วยปราณี จากนั้นก็คลายพันธนาการพวงมาลัยหมาเน่าออกจากคอของพญาวัสวดีมาลาธิราช
เรื่องราวของพระอุปคุตเถระที่เล่ามา มีปรากฎอยู่ใน”พระปฐมสมโพธิกถา” พระนิพนธ์ของ”สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส”
ดังนั้นการจัดพิธีอัญเชิญ”พระอุปคุต”ขึ้นจากแม่น้ำโขง ด้วยเหตุคือ”องค์พระธาตุพนม” ซึ่งเป็นมหาเจดีย์บรรจุพระอุรังคธาตุ(กระดูกส่วนหน้าอก)ของพระพุทธเจ้า ก็เป็น 1 ใน 84,000 พระสถูปมหาเจดีย์ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั่นเอง..!!
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: