สมาชิกพรรคภูมิใจไทย จังหวัดศรีสะเกษ เขต 1 เลือกการจัดเวทีเสวนา ตอบทุกปัญหาคาใจของประชาชน แทนการปราศรัย ไม่ใช้ Stand-in ตอบชัดไม่ยอมรับ สว.250 เสียง และเลือกข้างประชาชน – ประชาธิปไตย
วันนี้ (19 มี.ค. 62) ที่ ลานหน้าสถานีรถไฟจังหวัดศรีสะเกษ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ หรือ โต้ง ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ศรีสะเกษ เขต 1 หมายเลข 11 ได้เปิดเวทีเสวนา ตอบทุกปัญหาที่ประชาชนคาใจ อยากทราบในหลายๆ เรื่อง ทั้งเกี่ยวตัวผู้สมัคร ทั้งเกี่ยวกับพรรค ทั้งเกี่ยวนโยบายพรรคภูมิใจไทย ผลงานที่ผ่านมา ศรีสะเกษ ได้อะไรหากจะเลือก นายสิริพงศ์ ให้เข้าไปเป็นผู้แทน นโยบายส่งเสริมการปลูกกัญชา ปัจจุบันใครได้ใครเสีย ประชาชนได้อะไร ประชาชนสามารถถามตอบกันได้สดๆ กลางเวที แทนการเปิดเวทีปราศรัย และไม่ต้องใช้ Stand – in มาพูดแทนผู้สมัคร
นายสิริพงศ์ กล่าวบนเวทีเสวนา แทนการปราศรัย ว่า อดีตที่ผ่านมา ตนได้สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อพี่น้องประชาชนทั้งจังหวัด ในการพยายามประสานติดต่อให้มีแม็ตการแข่งขันกีฬาในแต่ละประเภทให้มาจัดการแข่งขันที่จังหวัดศรีสะเกษ ทั้งฟุตบอล วงโยธวาทิตโลก ทั้งฟุตซอล ทั้งวอลเลย์บอล ถ้วย ก.การขอสร้างสนามกีฬาแบบครบวงจร สิ่งเล่านี้ตนได้ทำในขณะที่ตนไม่มีตำแหน่งอะไรทางการเมือง แค่นายกสมาคมกีฬาจังหวัด แต่ตนเป็นคนศรีสะเกษ บ้านเกิดศรีสะเกษ และหลายครั้งที่ทำก็จะต้องใช้งบประมาณ ที่จะต้องหามากันเอง เพื่อให้ศรีสะเกษ หลายครั้งที่ใช้ทุนตนเข้าช่วย ให้ได้มีชื่อว่า ศรีสะเกษเป็นเมืองกีฬา
ทำไมตนออกจากพรรคชาติไทยพัฒนา ก็เพราะว่าพรรคลงมติตั้งหัวหน้าคณะปฎิวัติมาเป็นเลขา และที่ไม่เลือกพรรคใหญ่เพราะตนจะตัวเล็ก ที่เลือกพรรคเล็กเพราะตนจะได้ตัวใหญ่ คนในพรรคจะสามารถได้ยินเสียงตนที่พูดในนามของคนศรีสะเกษ รับฟังปัญหา รับฟังแนวทางพัฒนาของประชาชนคนศรีสะเกษ ที่จะให้ตนไปเป็นผู้แทน ตนมีความมุ่งมั่นมากที่จะมีโอกาสสักครั้งได้เข้าเสนอปัญหาของคนศรีสะเกษในสภาฯ
นายสิริพงศ์ ให้สัมภาษณ์ ว่า เป็นรูปแบบปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์ เนื่องจากว่าผมอยากมีการปราศรัยที่ประชาชนได้มีส่วนร่วม คือไม่อยากจะทำเป็นให้เป็นการหาเสียงที่เหมือนกับว่าเราพูดอะไรเมื่อพูดเสร็จแล้วก็จากไป แต่เราอยากจะเป็นการปราศรัยที่ประชาชนได้มีส่วนร่วมจริง ๆ ประชาชนอยากรู้อะไรให้ถามเราได้ และเราสามารถที่จะพูดในที่สาธารณะได้อย่างตรงไปตรงมา และค่อนข้างมั่นใจ เพราะว่าได้รับการต้อนรับอย่างดี
วันนี้ปัญหาเรื่องขั้วพรรคการเมือง ผมเชื่อว่าน่าจะหมดไปแล้ว เพราะว่าทางพรรคภูมิใจไทย ก็พูดชัดเจนว่าเรายึดในหลักของประชาธิปไตย และเราไม่ได้เห็นด้วยกับการที่ ส.ว. 250 เสียง เราเห็นด้วยการที่ ส.ส. สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้เอง ฉะนั้นเรื่องจุดยืนเราคิดว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนการที่คนยึดติดกับพรรค เราก็คงต้องวัดกันว่า ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งมันก็มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชื่อเสียงของพรรค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคล ความขยัน และผลงาน ก็ต้องให้ประชาชนได้ให้โอกาสชั่งน้ำหนัก ชั่งใจดู ว่าท่านอยากจะเลือกสิ่งที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม
