ฉะเชิงเทรา – โจรมักน้อยแอบปีนตึก 3 ชั้นกลางดึก กวาดเงินทอนจากแคชเชียร์ และเคาน์เตอร์ให้บริการลูกค้าภายในบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง คาดมีเงินสูญหายไปกว่า 2 หมื่นบาท ขณะตำรวจรอประสานไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อขอเปิดดูกล้องวงจรปิดตรวจสอบหารายละเอียดของคนร้ายต่อไป
วันที่ 8 มี.ค.61 เวลา 08.50 น. ร.ต.อ.พุฒิพงศ์ ชื่นชม รองสารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งเกิดเหตุลักทรัพย์จากภายในบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง (ไทยสมุทรประกันชีวิต) ตั้งอยู่บริเวณก่อนถึงสถานีชุมทางรถไฟฉะเชิงเทราประมาณ 200 เมตร เลขที่ 22 ถ.สุวินทวงศ์ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรามีทรัพย์สินเป็นเงินสดสูญหายไปประมาณกว่า 2 หมื่นบาท จึงเดินทางไปสอบสอบยังในที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์แบบ 3 ชั้น ขนาด 5 คูหา ดูจากภายนอกไม่พบร่องรอยของการงัดแงะตัวอาคาร สอบสวนพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ภายในทราบว่า หลังเปิดทำการในช่วงเวลา 08.30 น. เจ้าหน้าที่ภายในสำนักงานหลายรายจากทั้งหมด 7 เคาน์เตอร์ พบว่าในลิ้นชักสำหรับเก็บเงินทอนให้แก่ลูกค้าในแต่ละเคาน์เตอร์ได้สูญหายไปจนหมด ไม่เว้นแม้แต่เศษเงินเหรียญบาทก็ยังถูกขโมยไป โดยเฉพาะที่โต๊ะของแคชเชียร์ที่มีเงินเก็บอยู่ภายในมากกว่าจุดอื่นนับหมื่นบาทก็ได้หายไปด้วย แต่ไม่มีร่องรอยของการงัดแงะเคาน์เตอร์แต่อย่างใด
โดยบริษัทได้เปิดทำการในบริเวณตรงจุดนี้มานานหลายปีแล้ว ช่วงเวลาประมาณ 08.30 น. ไปจนถึงเวลา 17.00 น. แต่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน โดยปกติแล้วจะมีพนักงานของบริษัทผู้ให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตที่ตั้งอยู่รั้วติดกัน (3BB) จะทำงานกันจนถึงเวลาประมาณ 4 ทุ่มเศษของทุกวัน จึงคาดว่าคนร้ายน่าจะเข้ามาก่อเหตุในช่วงเวลาหลังจาก 22.00 น.ไปแล้ว โดยปีนเข้าตัวอาคารที่บริเวณชั้น 2 ก่อนที่จะเข้ามารื้อค้นลักทรัพย์สินภายใน ซึ่งเป็นเงินสดปลีกย่อยที่เก็บเอาไว้ทอนให้แก่ลูกค้าดังกล่าวไป พนักงานหน้าเคาน์เตอร์รายหนึ่งกล่าว
ขณะที่ ร.ต.อ.พุฒิพงศ์ กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่ามีทรัพย์สินสูญหายไป คือ เงินสดและเงินเหรียญหายไปเป็นจำนวนประมาณ 2 หมื่นบาทเศษ แต่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบจำนวนที่ชัดเจนมากนักเพราะส่วนใหญ่เป็นเพียงเศษเงิน โดยขณะนี้ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนประสานไปยังทางสำนักงานใหญ่ของบริษัทประกันภัยดังกล่าวแล้ว เพื่อขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อหารายละเอียดลักษณะรูปพรรณของคนร้ายที่เข้ามาก่อเหตุ และติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป ร.ต.อ.พุฒิพงศ์ กล่าว
