นครศรีธรรมราช-คนเมืองคอนโอดครวญ ยื่นหนังสือขอยกเลิกปฏิบัติการตัดโค่นพืชกระท่อม หลังจังหวัดปูพรหมทำลายหมดสิ้น แนะหันกลับมองย้อน มาตรการเน้นที่ผ่านมา ทำเอายาเสพติดประเภทอื่นทะลักเข้าถึงเด็กเยาวชนได้ง่าย เพราะราคาถูกลง
จากกรณีชาวที่บ้านในพื้นที่ อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราชกว่าร้อยคน ได้มารวมตัวกันที่บริเวณที่ทำการอำเภจุฬาภรณ์ นำโดยนายลิขิต เทพราช และนายสวาส ชุศาลา อดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เพื่อเข้ายื่นหนังสือคัดค้านคำสั่งจังหวัดนครศรีธรรมราชในการออกปฏิบัติการตัดโค่นทำลายพืชกระท่อมในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านนายอำเภอจุฬาภรณ์ โดยขอให้ยุติการโค่นทำลายต้นกระท่อมทั้งจังหวัด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น
ล่าสุด วันนี้ 20 มีนาคม 2561 นายสินทร ดาวกระจาย ปลัดอาวุโสอำเภอร่อนพิบูลย์ เปิดเผยว่าทุกพื้นที่เป้าหมายของจังหวัดได้มีการออกปฏิบัติการโค่นทำลายต้นกระท่อมไปแล้ววานนี้ โดยสนธิกำลังทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร เข้าดำเนินการพร้อมกัน พบว่าแทบทุกพื้นที่มีพืชกระท่อมปลุกไว้ โดยเฉพาะ อ.จุฬาภรณ์ มีกลุ่มเป้าหมายถึง 400 ต้น ซึ่งการโค่นทำลายในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของทางจังหวัดในการปราบปรามยาเสพติด
“ ซึ่งตนเข้าใจทุกอย่างในวิถีชีวิตของคนภาคใต้ แต่เมื่อเป็นนโยบายที่จะต้องปราบปรามก็ต้องดำเนินการไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ส่วนที่มีชาวบ้านพูดว่า อำเภอให้ไปลงทะเบียนปลูกต้นกระท่อมในบ้านได้ไม่เกิน 2 ต้นต่อบ้านนั้น ขอชี้แจงว่าไม่มีอำเภอใดในจังหวัดนครศรีธรรมราชประกาศอย่างแน่นอน ขอให้ชาวบ้านเข้าใจ และไม่ใช่เรื่องกลั่นแกล้งแต่อย่างใด”
และกระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่าในพื้นที่ อ.จุฬาภรณ์ เป็นแหล่งปลูกต้นกระท่อมแหล่งใหญ่ของจังหวัด โดยมีการปลูกต้นกระท่อมเป็นพื้นที่หลายร้อยไร่ และจะปลูกยางพาราปิดไว้ด้านหน้านั้น ขอชี้แจงว่าไม่ปรากฏตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ต้นกระท่อมที่เข้าไปทำลายก็เป็นของชาวบ้านที่ปลูกไว้ข้างบ้านและในสวนเท่านั้น ซึ่งการปฏิบัติการตัดโค่นทำลายในครั้งนี้สามารถตัดโค่นได้ถึง 400 ต้น และยังคงเหลืออีกจำนวนหนึ่ง
ผู้นำท้องถิ่นรายหนึ่งระบุ วันนี้กลุ่มเด็กที่กินน้ำท่อมลดลงไปมาก เนื่องจากหาพืชกระท่อมซึ่งเป็นส่วนผสมหลักได้ยากมาก เด็กและเยาวชนเลยหันกลับไปเล่นเสพยาเสพติดดังเดิม เนื่องจากมีราคาที่ถูกลง และหาซื้อขายได้ง่ายสะดวกระบาดยิ่งกว่าน้ำท่อมเสียอีก เหตุเพราะที่ผ่านมามาตรการเข้มงวดกวดขันของทางเจ้าหน้าที่ เน้นหนักไปในทางพืชกระท่อม จนปริมาณของพืชกระท่อมลดลง เรียกได้ว่าขาดตลาด ราคาก็เลยสูงขึ้น สวนทางกับยาเสพติดประเภทอื่นที่มาตรการความเข้มงวดลดลง ยาเสพติดก็แพร่กระจายไปมากและทั่วถึง ราคาก็ถูกลง การเข้าถึงของเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย พิษภัยอันตรายก็มากกว่า แต่ผลกระทบกลับตกอยู่กับวิถีชีวิตชาวใต้ ในวัยคนวัยทำงาน ที่บริโภคพืชกระท่อมเพื่อการงาน สำหรับผู้สูงอายุ มีไว้กินเพื่อเป็นยา รักษาโรคภัย และเคี้ยวเล่นตามวงน้ำชา หลังจากนั้นก็เลิกรากันไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คืออยากเห็นจังหวัดจริงจังกับการปราบปรามยาเสพติดประเภทอื่นมากกว่ามุ่งเน้นจะตัดต้นพืชกระท่อม ซึ่งขณะนี้ได้เข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ขายกันแม้กระทั่งเด็กประถม ส่งยากันเป็นว่าเล่น แต่ก่อนเห็นเด็กเมากระท่อมหัวเราะเฮฮา พอสร่างเมาก็กลับบ้าน แต่วันนี้เด็กเมายาเสพติดก่ออาชญากรรม สร้างปัญหาต่อสังคม สิ่งนี้น่ากลัวมากที่สุด
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: