ไม้เชียงแสน ยิ่งมีการสอบเค้นหาข้อมูลมากเท่าไร ยิ่งพบเห็นเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากไม้เถื่อนไม่สามารถลงเรือ ออกไปจำหน่ายจีนได้ ถ้าหากไม่มีเจ้าหน้าที่เปิดทาง
จากเหตุการณ์ตำรวจ สภ.เชียงแสน จ.เชียงราย จับรถไม้ซุง 20 ท่อนบนรถบรรทุก 10 ล้อ 2 คัน และพบกองไม้ประดู่แปรรูปซุกในหน่วยรักษาป่า อ.เชียงแสน 111 ท่อน เมื่อวันที่ 25 มี.ค. เป็นผลให้นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ หน.ศูนย์ปฎิบัติการพิทักษ์ป่า(ศปก.พป) นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผอ.สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า “หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร”ว่าที่ ร.ต. วรัท ตุลยธำรง นิติกรชำนาญการ สำนักกฎหมาย กรมป่าไม้ และเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งรุดไปตรวจสอบพบว่าท่อนซุง 20 ท่อนผิดกฎหมาย 11 ท่อน และไม้ประดู่แปรรูป 111 ท่อนเหลี่ยม ผิดกฎหมาย จึงมีคำสั่งไล่ออกนายคำดี อินทะวงศ์ ลูกจ้างหน่วยและดำเนินคดีร่วมกับนายเอกชัย ลิ้มประเสริฐ เจ้าของไม้ และย้ายนายวัชระ ศักดิ์เจริญ หัวหน้าหน่วยฯ นายวิฑิต กรองแก้ว นายอินสม วงศ์เรือนคำ พนักงานราชการ ไปประจำสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย)
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 เม.ย.มีการขยายผลเข้าทลายขบวนการมอดไม้ ตรวจค้นโรงเลื่อย 3 แห่ง สั่งอายัติไม้ซุงประดู่ และไม้ประดู่แปรรูปลักษณะการเลื่อยชุดเดียวกัยเชียงราย จำนวนมาก และวันที่ 6 เม.ย.สกัดจับรถคอนเทนเน่อร์บรรทุกไม้ท่อนแปรรูปไม้ประดู่เต็มตู้ ซึ่งเป็นขบวนการเดียวกันได้ที่ลานจอดรถ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมตัวลงเรือที่คลองเตย และที่เรือแหลมฉบังไปจีน และมีการติดตามขยายผลเข้าตรวจค้นอีกหลายแห่งไม่หยุด
ต่อเมื่อเวลา 10.00 วันที่ 10 เม.ย.61 นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ หน.ศูนย์ปฎิบัติการพิทักษ์ป่า(ศปก.พป)สั่งการให้นาย ว่าที่ร้อยตรี วรัท ตุลยธำรง นิติกรชำนาญการ สำนักกฎหมาย กรมป่าไม้ เข้าพื้นที่ อ.เชียงแสน ทำการสอบปากคำนายวัชระ ศักดิ์เจริญ หัวหน้าหน่วยฯ นายวิฑิต กรองแก้ว นายอินสม วงศ์เรือนคำ พนักงานราชการ ที่ถูกสั่งย้ายไปประจำสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) เพื่อเค้นสอบขยายผลสาวให้ถึงตัวการใหญ่ในขบวนการขนไม้ประดู่ลงเรือจีนไปขายจีน เพราะตามทางการสืบสวนไม่เชื่อว่าข้าราชการระดับปฎิบัติการอำเภอจะสามารถลักลอบขนไม้ซุงและไม้แปรรูปเป็นท่อนใหญ่ ๆ ลงเรือในท่าเรือเถื่อนครั้งละ 2 รถบรรทุก 10 ล้อ มูลค่านับ 10 ล้านบาท
โดยไม่ถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่รับผิดชอบหลายหน่วยงานในพื้นที่ นอกจากนั้นได้มีหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ได้ให้ข้อมูลว่าเป็นที่น่าสงสัยว่าจะมีการสวมใบรับรองเป็นไม้ถูกต้องออกจากกรมป่าไม้ เพื่อให้มีการส่งออก เพราะทุกครั้งที่หลายหน่วยงาน ทหาร ตำรวจ นรข.ทหารพราน เข้าทำการตรวจยึดท่อนซุง ไม้แปรรูปครั้งละจำนวนมาก จะมีการอ้างว่าเป็นไม้ถูกกฎหมาย แต่ไม่มีหลักฐานติดมากับการขนย้ายเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ทันที ต้องรอผู้อ้างว่าเป็นเจ้าของไม้ไปหาหลักฐานมาแสดงภายหลังผ่านไปเป็นเดือน เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่หน่วยอื่นที่เข้าจับกุมมีความอึดอัดใจเป็นอย่างมาก หากจับไม่ได้ก็จะมีการลักลอบขนลงเรือในท่าเรือเถื่อนโดยไม่เคยมีรายงานการจับกุมได้ขณะขนลงเรือสักครั้ง และในขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงในจังหวัดเชียงราย ได้รับไฟเขียวให้รวบรวมพยานหลักฐานเตรียมกำลังเข้าทำการปูพรมกวาดล้างตรวจค้นทลายขบวนการมอดไม้ทำลายชาติครั้งนี้อย่างจริงจังในไม่ช้านี้
ส่วนการส่งท่อนซุงไม้ประดู่ลงเรือเชียงแสน ไปจีน ยังมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 7 เม.ย.ตำรวจ สภ.เชียงแสน ร่วมกับ นรข.เขตเชียงราย เข้าตรวจค้นรถบรรทุกอีซูซุ เทเลอร์ 22 ล้อ ทะเบียน 88-9091 นครราชสีมา บรรทุกไม้ประดู่ท่อนจำนวน 37 ท่อน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 – 100 เซนติเมตร ยาว 3 – 4 เมตร ปริมาตร 25.04 ลูกบาศก์เมตร ขณะจอดอยู่ในโกดังบริษัทเอ.เค.ชิปปิ้ง อิมปอร์ตแอนด์เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด ริมถนนสายเชียงแสน – เชียงของ ไม่มีเลขที่ บ.ป่าสักหางเวียง ม.9 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พบนายวรจิต สำราญสม อายุ 44 ปี บ้านเลขที่ 94 ม.3 ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น คนขับรถ ให้การว่าบรรทุกไม้ทั้งหมดมาจาก จ.พิษณุโลก และยื่นเอกสารใบกำกับไม้ประดู่พร้อมบันทึก ประจำวันของ สภ.ชุมแสงสงคราม จ.พิษณุโลก แจ้งเป็นหลักฐานในการขอเคลื่อนย้ายไม้ประดู่จำนวน 37 ท่อน ไปยังด่านศุลกากรท่าเรือเชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร มาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ 
นายโกศล พิมสาร หัวหน้าชุดสายตรวจปราบปรามสายที่ 1 ประจำสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 เชียงราย กล่าววว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบว่าไม้ประดู่ 37 ท่อนดังกล่าว มีหลักฐานเอกสารการได้มาของไม้ มีเอกสารการรับรองของกรมป่าไม้ แต่ไม้ชุดดังนี้ต้องรอการเสียภาษีจากศุลกากร แต่อย่างไรก็ตามเจ้าของไม้ต้องทำหนังสือถึงสำนักงานป่าไม้ 2 เชียงราย ให้มาตรวจสอบไม้ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับหนังสือแล้วจะได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าเป็นไม้ที่มีที่ไปที่มาถูกต้องตามเอกสารที่แนบมาหรือไม่
