เชียงราย-ปฏิบัติการ รวมใจเป็นหนึ่ง กู้เรือแม่โขงเดลต้า ที่จมในแม่น้ำโขงริมฝั่ง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เจออุปสรรค น้ำหนักเรือมหาศาลจากน้ำและทรายในเรือ ทำให้หูเกี่ยวยกท้ายเรือขาดสะบั้น หลังยกขึ้นมาได้ประมาณ 1 ฟุต ต้องพยายามชักลากเข้ามาใหม่ หรืออาจจะต้องปลี่ยนแผนใช้ถุงลมพยุงเรือขึ้น
กรณีเรือแม่โขงเดลต้า ซึ่งเป็นเรือท่องเที่ยวแม่น้ำโขงสัญชาติไทยลำแรกในแม่น้ำโขง ขนาด 107 ตันกรอส ยาว 40 เมตร กว้าง 5.50 เมตร บรรทุกผู้โดยสารได้ 120 ที่นั่ง จมลงจากพายุฝนทำน้ำเชี่ยวพัดสายผูกหัวเรือขาดเรือขวางลำน้ำและมีน้ำฝนในเรือมากจนพลิกตะแคงจมในแม่น้ำโขงชายแดนไทย – สปป.ลาว บริเวณบ้านป่าสักหางเวียง หมู่ 3 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา และวันนี้มีการบูชาแม่ย่านางเรือ ขอให้การกู้เรือเป็นไปด้วยความราบรื่นนั้น
เมื่อเวลา 16.15 น.วันที่ 11 ส.ค.63 หลังเจ้าหน้าที่มนุษย์กบและทหารเรือได้ลงไปผูกสลิงกับหูเกี่ยวท้ายเรือใต้น้ำ แล้วเริ่มการชักรอกสลิงเพื่อจะยกท้ายเรือขึ้น แล้วหาทางสูบน้ำในเรือออกตามแผน แต่ปรากฏว่าเมื่อชักรอกยกขึ้นได้ประมาณ 1 ฟุต ปรากฏว่าหูเกี่ยวบริเวณท้องเรือได้ขาดลง ทำให้ท้ายเรือตกจมลงไปอีกครั้ง ทำให้แผนการยกท้ายเรือขึ้นเพื่อจะสูบน้ำ ก็ต้องปรับเปลี่ยน โดยพยายามดึงหัวเรือในส่วนที่มีสลิงเกี่ยวที่เหลือ เข้ามาแทน
อีกแผนทางเลือกที่น่าสนใจที่มีการนำเสนอกันในการวางแผน คือการใช้ถุงลมมาช่วยยกเรือขึ้นแทน โดยถุงลมเหล่านี้น่าจะต้องขอการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยขณะนี้ทาง เจ้าของเรือแม่โขงเดลต้า กำลังหาแนวทางในการประสานขอความช่วยเหลือทางหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องอยู่ เจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติการคาดว่าน้ำหนักเรือซึ่งเป็นเหล็กมีน้ำหนักกว่า 100 ตันแล้ว ขณะนี้น่าจะมีทรายเข้าไปอยู่ในลำเรือและน้ำซึ่งท่วมเต็มในชั้นหนึ่งน่าจะทำให้เรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวหรือประมาณ 200 ตัน เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการยกด้านใดด้านหนึ่งขึ้น และระดับน้ำโขงบริเวณจุดเกิดเหตุวันนี้ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 4 เมตร และท้องฟ้ามึดครึ้มทางทิศเหนือต้นแม่น้ำโขงอาจจะมีฝนตกอยู่ แนวโน้มระดับน้ำโขงยังไม่น่าลดลงง่ายง่าย การกู้เรือครั้งนี้จึงจะต้องหาแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อนำเรือขึ้นริมฝั่งต่อไป
โดยขณะนี้นอกจากมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานแล้วยังมีประชาชนที่ทราบข่าวแวะเวียนมาชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วยความสนใจเพราะเจ้าหน้าที่บางคนบอกว่าไม่เคยเกิดเหตุลักษณะนี้ในแม่น้ำโขงมาเลยในรอบเกือบ 17 ปี
