เชียงราย-เครดิตยูเนียนแม่เย็นพัฒนาลุกลาม สมาชิกแห่ตรวจสอบบัญชี พบบางรายถูกถอนเกือบหมดบัญชี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ก.ย. 64 พ.ต.อ.ชยันต์ ปัญญาเครือ ผกก.สภ.พาน จ.เชียงราย ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.องอาจ เฟื่องฟู รอง ผกก.(สอบสวน) พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวน สภ.พาน ได้เชิญผู้เกี่ยวของในการตรวจสอบสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแม่เย็นพัฒนา อันประกอบด้วย นางจีราภรณ์ ศิริสุข หน.สนง.ตรวจบัญชีสหกรณ์เชียงราย นางณัฐฐยา คำโป่ง ผอ.กลุ่มส่งเสริมสหกรณ์ 4 (พาน/ป่าแดด/พญาเม็งราย) และตัวแทนกรรมการสหกรณ์ฯ เพื่อมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม กรณีชาวบ้านร้องเรียนเงินฝากหายไปจากบัญชี และมีรายการกู้เงินทั้งที่เจ้าของบัญชีไม่ทราบเรื่อง รวมความเสียหายขั้นต่ำ 27 ล้านบาท จากการประชุมชี้แจงข้อมูลทราบว่า เบื้องต้นจากการสอบสวนมีผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยักยอกทรัพย์ในครั้งนี้ 2 คนคือ นางบุญจิรา เกษคำ ผู้จัดการสหกรณ์ฯ และนางสายทอง เมืองใจหล้า เจ้าหน้าที่การเงินของสหกรณ์ฯ ซึ่งจากขัอมูลที่ได้จะพบว่ามีความเสียหายใน 4 รูปแบบคือ1.เงินฝากหายจากบัญชี (บัญชีเล่มสีฟ้า) ซึ่งส่วนนี้พบว่าบางรายเอาเงินมาฝากโดยไม่ได้ใบเสร็จรับเงิน หรือบางรายได้ใบเสร็จ แต่ไม่มีการอัพเดทในสมุดเงินฝาก เพราะสมุดเงินฝากจะถูกเก็บรักษาไว้ที่สหกรณ์ฯ สมาชิกไม่ได้เก็บรักษาไว้เอง ทำให้หลายรายละเลยไม่ได้ตรวจสอบความเรียบร้อยของรายการฝากถอน ความเสียหายในส่วนนี้ยังไม่มีความชัดเจน ต้องรอผลการตรวจพิสูจน์จากเจ้าหน้าที่เสียก่อน 2.มียอดเงินกู้เพิ่ม บางรายจ่ายเงินกู้ไปจนหมด แต่ยังมียอดคงค้างเหลืออยู่ บางรายก็มีรายการกู้เงินทั้งที่ไม่เคยทำเรื่องกู้มาก่อน และบางรายก็ลาออกจากสมาชิกแต่กลับมียอดกู้เงิน ซึ่งรายการกู้ยืมเงินผิดปกตินี้ทางผู้ต้องสงสัยให้ข้อมูลว่ามียอดความเสียหายประมาณ 27 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นแค่คำให้การของผู้ต้องสงสัย ตัวเลขที่แท้จริงจะต้องรอผลการตรวจสอบเช่นกัน3.เงินฝากสะสมหุ้นกู้สามัญ (สมุดเล่มสีแดง) เป็นเงินสะสมที่สมาชิกสหกรณ์ฯทุกคน จะต้องนำเงินมาฝากในบัญชี เดือนละ 100 บาท หรือ 1,200 ต่อปี พบว่าเงินในบัญชีนี้ถูกยักย้ายถ่ายถอนออกไปโดยเจ้าของบัญชีไม่รู้เรื่องด้วยเช่นกัน ส่วนนี้ยังไม่ทราบความเสียหาย 4.เงินสมาคมฌาปณกิจสงเคราะห์ หรือ สค.5 ไม่ถูกนำฝากเข้าระบบ และบางรายที่เสียชีวิตก็ไม่ได้รับเงินตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งในส่วนของ สค.5 นี้ จะไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของสหกรณ์ฯโดยตรง แต่เกิดจากการที่สมาชิกรวมตัวก่อตั้งขึ้นมา เพื่อเก็บเงินช่วยเหลือกันในกรณีที่สมาชิกเสียชีวิต ซึ่งพบว่ามีเงินในส่วนนี้สูญหายไปด้วยเช่นกันซึ่งจากการพูดคุยหารือเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทาง สภ.พาน ได้รับแจ้งความเพื่อดำเนินคดีแล้ว และจะทยอยเรียกผู้ต้องสงสัยและผู้เสียหายมาให้ปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาดำเนินการบ้าง เพราะผู้เสียหายมีเยอะประมาณ 500 คน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะเป็นคดีใหญ่ และเป็นที่สนใจในสังคม ด้านที่วัดแม่เย็นเหนือ ม.3 ต.แม่เย็น อ.พาน จ.เชียงราย ก็ยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมากที่มารอตรวจสอบความถูกต้องของบัญชี ซึ่งจากกระแสข่าวที่มีออกมาทำให้หลายคนมีท่าทีวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะเงินในบัญชีดังกล่าวถือเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่เตรียมไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิต ทำให้บางรายที่ทราบยอดเงินคงเหลือในบัญชีก็ถึงกับเข่าทรุด หรือบางรายก็เป็นลมไปเลยก็มี นางเกี๋ยงคำ คำบุ่ง อายุ 64 ปี ชาวบ้าน ม.8 ต.แม่เย็น เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนไปทำงานรับจ้างต่างจังหวัดมากว่า 20 ปี นำเงินมาสะสมไว้ที่สหกรณ์ปีละ 2-3 หมื่นบาท รวมยอดทั้งของตนเองและลูกชายเป็นยอด 8 แสนกว่าบาท ถูกถอนหายเกลี้ยงนางลัดดา ไฝ่ขัน อายุ 64 ปี ชาวบ้าน ม.5 ต.แม่เย็น เผยว่า ของตนมีเงินที่ได้จากการรับจ้างทุกอย่าง ทำไร่ทำนาบ้าง เก็บเล็กผสมน้อยเอามาเก็บมาออมไว้ที่สหกรณ์ฯ ยอดประมาณ 5 แสนกว่าบาท ถ้าโดนเขาเอาไปหมดจะทำอย่างไรกับชีวิต จะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ออก จากนี้คงจะไม่มีเงินใช้แล้ว ด้านนางบุญ แหลมเพชร อายุ 66 ปี ชาวบ้าน ม.8 ต.แม่เย็น กล่าวว่า วันนี้มาติดตามเรื่องเงินฌาปณกิจสงเคราะห์ หรือ สค.5 ของนายมีชัย แหลมเพชร ซึ่งเป็นสามีที่เสียชีวิตไปเมื่อช่วงเดือน เม.ย. และได้ไปสอบถามก็ทราบว่าเงินฌาปณกิจของสามี จำนวน 1.3 แสนบาท โอนมาให้แล้ว แต่พอไปสอบถามกับสหกรณ์ฯ กลับบอกว่าขอเอาไปหมุนใช้ในสหกรณ์ก่อนแล้วจะเคลียร์ให้ แต่สหกรณ์ฯก็มีเรื่องราวขึ้นมาเสียก่อน ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรต่อไปดีด้านนางอุ่นและนายมี จันทรา แม่และพ่อของนายดนัย จันทรา ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจไม่ออก ต้องเจาะคอเพื่อหายใจ เล่าว่า ลูกชายป่วยด้วยอาการหายใจไม่ออกต้องเจาะคอ เทียวไปหาหมอทั้งที่เชียงรายและเชียงใหม่ ตนเก็บเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพาลูกชายไปหาหมอ ก็มีการถอนออกมาใช้หลายครั้ง จนเหลือเงินอยู่ประมาณ 1.9 หมื่นบาท แต่ปรากฏว่ามาตรวจบัญชี พบเงินหายเหลือติดบัญชีประมาณ 3 พันบาท ตอนนี้ไม่เหลือเงินพาลูกไปหาหมอแล้ว ซึ่งฝั่งชาวบ้านเป็นห่วงว่าเรื่องจะเงียบหาย เพราะรู้สึกว่ากระบวนการตรวจสอบมีขั้นตอนเยอะ อาจจะมีความล่าช้า เกรงว่าผูัเกี่ยวข้องจะมายุ่งกับหลักฐานหรือนำหลักฐานไปทำลาย อยากให้หน่วยงานอื่นๆ เช่น ดีเอสไอ มาตรวจสอบความเสียหายร่วมกับทางสหกรณ์ด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ข่าวน่าสนใจ:
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: