เชียงราย-อนุทิน หน.พรรคภูมิใจไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า แย้งกับป้ายหาเสียงผู้สมัคร สส.เขต 1 เชียงราย ลูกพรรค
วันที่ 20 เม.ย.2566 จากกรณีที่นายอนุทิน อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้มีนโยบายของพรรค ถ้าหากได้เป็นรัฐบาลใหม่อีกครั้ง ทางพรรค “บุหรี่ไฟฟ้า ไม่สามารถทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายได้ ”ไม่สนับสนุน ซึ่งในขณะเดียวกัน นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย เขต 1 พรรคภูมิใจไทย ที่ จ.เชียงราย เขต 1. มี ต.เวียง ต.รอบเวียง ต.ริมกก. ต.สันทราย ต.ท่าสาย ต.ป่าอ้อดอนชัย ต.แม่กรณ์ ต.ดอยฮาง ต.แม่ยาว ต.ห้วยชมภู ต.บ้านดู่ ซึ่งมีทั้งหมด 11 ตำบล ในเขตพื้นที่ จังหวัดเชียงรายเขต 1.
ซึ่งได้มีการติดตั้งป้ายหาเสียง สวนกระแสหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “มีป้ายผลักดัน บุหรี่ไฟฟ้า ” ได้ติดตั้งป้ายหาเสียงพื้นที่ เขต 1. ซึ่งก็ทำให้มีให้ผู้สงสัยว่า เป็นป้ายปลอม หรือข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ที่ป้ายสวนกระแสหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทาง นพ.เอกภพ หรือ หมอเอก เผยว่า ตามที่มีกระแสสวนกลับ ว่านายอนุทิน ไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฏหมายนั้น ซึ่งช่วงนั้นนายอนุทิน ยังเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ต้องไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่ไม่ดี ที่จะทำลายสุขภาพของประชาชน ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ทางนายอนุทินเองก็ยังไม่สรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ดี ซึ่งให้ทางให้ทาง สส.ลูกพรรค หาข้อมูลข้อเท็จจริงมานำมาเสนอ ถึงจะมีข้อสรุป เปิดโอกาศให้ลูกพรรคทำงาน
อีกทั้งที่ผ่านมา หมอเอกได้ดำรงตำแหน่งกรรมธิการสาธารณสุข ดังนั้นตนเองก็ได้ศึกษา หาผลดีผลเสียของเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า จนเป็นที่สำเร็จ จึงเป็นที่มา ทำป้ายหาเสียงถึงเขียนว่า ผลักดันเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งก็ถือได้ว่า เป็นผลงานของตนเอง ที่ได้ศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าจนสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีโทษน้อยกว่า บุหรี่มวนในปัจจุบัน ซึ่งป้ายของตนเองนั้น ก็มีหลากหลาย ในกิจกรรมในช่วงที่เป็น สส. ได้ออกไปทำกิจกรรมมาหลายอย่างที่สำเร็จให้กับประชาชน และที่มาที่ไปของป้ายหาเสียง ตั้งใจจะทำให้แตกต่างจากผู้สมัครรายอื่น ให้มีรูปแบบที่แตกต่างกันไป
ซึ่งตอนนี้ได้ผลักดันบุหรี่ไฟฟ้าเข้าไปสู่รัฐสภาแล้ว ซึ่งจะให้บุหรี่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และควบคุมบุหรี่มวน และคนที่อยากเลิกบุหรี่ก็ให้หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งตอนนี้เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศแล้ว ว่าคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ ต้องใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทน ซึ่งที่ผ่านมาทางรัฐมนตรี ยังได้ข้อมูลเดิมๆของนักวิชาการ แต่ยังไม่ได้อับเดท ซึ่งตอนนี้ข้อมูลได้ส่งไปไว้บนโต๊ะของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ก็ต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ นำไปพิจารณาอีกครั้ง
