โซเชี่ยลกระหน่ำแชร์กล้องวงจรปิดจับภาพขณะที่รถเก๋งหรูเปลี่ยนเลนเพื่อขึ้นทางด่วนตัดหน้าจักรยานยนต์ของ 2 สามี-ภรรยา เป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บ
วันที่ 27 พ.ค.63 ขณะที่ในโลกโซเชียลได้มีการแชร์ภาพเหตุการณ์รถยนต์เก๋งเปลี่ยนเลนอย่างกะทันหันและเกิดไปเฉี่ยวชนกับรถ จยย.ทำให้มีผู้บาดเจ็บเป็นชาย 1 คนและหญิง 1 คนซึ่งเป็นผู้ขับขี่และซ้อนท้าย เหตุเกิดถนนแจ้งวัฒนะขาออกบริเวณทางขึ้นทางด่วนแจ้งวัฒนะ ในพื้นที่ของ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 63 เวลา 11.00 น. ภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะรถยนต์เก๋งยี่ห้อ BMW สีขาว ทะเบียน 8 กข 9596 กทม ขับอยู่เลนขวาและเกิดเปลี่ยนเลนมาทางซ้ายเพื่อตัดขึ้นทางด่วนแจ้งวัฒนะซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถจยย.ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นคลิ๊ก สีขาวดำ ทะเบียน 1 กฎ 5543 กาฬสินธุ์ ขับขี่และซ้อนท้ายกันมา 2 คนทราบชื่อคือนายนันธพงศ์ ชัยบัญดิษฐ์ อายุ 24 ปีเป็นผู้ขับขี่ และน.ส.กรรณิการ์ ณนาราช อายุ 24 ปี เป็นผู้ซ้อนท้าย ทำให้เกิดพุ่งชนกันอย่างเต็มแรงและเป็นเหตุให้ทั้ง 2 คนได้รับบาดเจ็บหลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำตัวส่งโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ล่าสุดอาการปลอดภัย
ทางด้าน น.ส.กรรณิการ์ กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 24 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ตนและแฟนหนุ่มได้ขับขี่รถจยย.เพื่อที่จะไปเดินเล่นที่ห้างแห่งหนึ่งย่านถนนเเจ้งวัฒนะ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุมีรถเก๋งขับมาปาดหน้ารถ จยย.ของตนอย่างกระทันหัน จึงทำให้แฟนเสียหลักชนกับรถเก๋งเข้าอย่างจัง ซึ่งตนก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับตัวเอง ในขณะที่รถล้ม ตนยังรู้สึกตัวแต่มีความรู้สึกเหมือนจะวูบอยู่ตลอดเวลา จึงพยายามเรียกสติตัวเองให้อย่าวูบหลับไป โดยตนเองได้รับบาดเจ็บที่บริเวณ มือขวา แขนซ้าย หัวไหล่ซ้าย และหัวแตกเย็บ 2-3 เข็ม ส่วนทางคู่กรณีนั้นไม่ได้หลบหนีไปไหน และได้ลงมาช่วยเหลือหลังเกิดเหตุด้วย เบื้องต้นคู่กรณีได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นให้ตนเป็นจำนวนเงิน 4,000 บาท และหลังจากนี้รอเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกคู่กรณีเข้ามาพูดคุยเรื่องค่าเสียหายเพิ่มเติม และสุดท้ายนี้อยากจะฝากถึงผู้ขับขี่ที่ใช้รถ ใช้ถนนให้เคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด อย่าประมาท ส่วนคนขับรถ จยย. ก็อยากให้สวมหมวกกันน็อคให้เรียบร้อย และส่วนคนที่ขับรถยนต์ก่อนจะเลี้ยวก็ให้ดูซ้าย ดูขวาให้ดีก่อน จะได้ไม่ต้องมาเกิดอุบัติเหตุเหมือนตนอีก
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวมีข้อมูลว่าทางขึ้นทางด่วนแจ้งวัฒนะจุดนี้ได้เกิดเหตุในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้งซึ่งยังไม่มีการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
