ไฮโซสาวร้านเพชรร้องสื่อทั้งน้ำตาถูกอดีตนายทหารเกษียณราชการพร้อมชายฉกรรจ์กว่า 10 คนบุกยึดบ้านมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 ต.ค.62 ผู้สื่อข่าวเดินทางเข้าตรวจสอบหลังจากได้รับเรื่องร้องทุกข์จาก น.ส.พิมพ์นรี หรือบี โหตะไวทยากร อายุ 33 ปีกรณีถูกนายทหารเกษียณราชการยศพล.ร.อ.พร้อมชายฉกรรจ์กว่า 10 คนบุกยึดบ้านโดยน.ส.บี กล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า ตนเองมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 95 หมู่ที่ 2 ต.บางกร่าง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ทั้งในทะเบียนบ้านและโฉนดที่ดินถูกต้องตามกฎหมายแต่เมื่อวันที่ 4 ต.ค.62 ที่ผ่านมามีชายฉกรรจ์หลาย 10 คนบุกเข้ามาที่บ้านของตนซึ่งขณะนั้นตนไม่ได้อยู่ในบ้านกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวจึงให้แม่บ้านเปิดประตูบ้านก่อนจะเข้าไปทำการเปลี่ยนลูกกุญแจบ้านทั้งหมดทำให้ตนเองและน้องสาว คือน.ส.พิมพ์ลริล ไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ตนเองจึงได้เดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ที่อสภ.บางศรีเมือง กับ พ.ต.ต.อานนท์ แพรงาม สว.สอบสวนสภ.บางศรีเมือง เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ข่าวน่าสนใจ:
น้องบี เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้สื่อข่าวฟังว่าครอบครัวของตนนั้นประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอัญมณีโดยมีชื่อร้านว่าจารุเพ็ชรรังสรรค์อยู่ที่บ้านหม้อซึ่งเปิดกิจการมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายนานกว่า 50 ปีแล้วจนตกทอดมาถึงรุ่นคุณแม่ก็คือนางสุคนธกาญจน์ โหตะไวทยกร ซึ่งคุณแม่ได้แต่งงานอยู่กินจดทะเบียนสมรสกับนายธนัช เกตุมงคล คุณพ่อของตนจนมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คนคือตนเองและน้องสาวชีวิตครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุขประกอบธุระกิจค้าขายอัญมณีเรื่อยมาน้องบีเล่าทั้งน้ำตาว่าเมื่อประมาณปี 2541 นายประวิทย์ โหตะไวทยกร ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณแม่ได้พาเพื่อนนายทหารเรือก็คือพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ปัจจุบันเกษียณราชการแล้วมาแนะนำให้ทุกคนที่บ้านได้รู้จักจนกระทั่งมีความสนิทสนมกับทุกคนโดยเฉพาะคุณแม่กับคุณพ่อซึ่งก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีต่อมาคุณพ่อได้หย่าร้างกับคุณแม่เพราะเกิดปัญหาสาเหตุมาจากเรื่องนี้ทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องแยกทางกัน ช่วงจังหวะเวลาดังกล่าวทำให้นายทหารคนดังกล่าวได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณแม่ของตนเองไปไหนมาไหนด้วยกันจนกระทั่งในปี 2549 คุณแม่ได้ไปดูและถูกใจที่ดินกว่า 4 ไร่ในซ.วัดบ่างกร่าง ต.บางกร่าง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ซึ่งปัจจุบันคือบ้านเลขที่ 95 หลังดังกล่าว และตกลงซื้อในราคา 17,500,000 บาทพร้อมทั้งถมที่ปลูกบ้านตกแต่งไปรวมกว่า 40,000,000 บาทใช้ชื่อบ้านและโฉนดที่ดินเป็นชื่อของคุณแม่แต่เพียงผู้เดียวโดยขณะนั้นคุณแม่ซึ่งคบหาดูใจกับนายทหารคนดังก็ได้พาช่างผู้รับเหมาเข้ามาดูแลตกแต่งต่อเติมซึ่งคุณแม่ได้มีการโอนเงินการซื้อและตกแต่งมูลค่าบ้านหลังนี้ทั้งหมดผ่านบัญชีนางเปรมจิต โหตะไวทยกร ซึ่งเป็นมารดาของคุณแม่โดยการโอนแต่ละครั้งจะโอนให้นางเปรมจิต เป็นงวดๆครั้งละหลายล้านบาทเนื่องจากคุณแม่ไม่อยากให้ตนเองและน้องสาวคิดว่านำเงินส่วนของร้านอัญมณีที่มีตนเองและน้องสาวเข้ามามีส่วนร่วมบริหารไปใช้จ่ายเพราะขณะนั้นคุณแม่คบหาสนิทสนมกับนายทหารคนดังทั้งๆ ที่คุณแม่ก็รู้ว่านายทหารคนดังกล่าวนั้นมีครอบครัวแล้ว ต่อมาตนเองพร้อมน้องสาวและคุณแม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังที่ซื้อพร้อมทั้ง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ก็มีการไปมาหาสู่กับคุณแม่และพักอยู่บ้านหลังดังกล่าวเป็นครั้งคราวต่อมาราวปี 2559 คุณแม่เริ่มมีอาการป่วยจึงได้ทำนิติกรรมและโอนที่ดินพร้อมบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของตนเองก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมาตนและน้องสาวก็พักอาศัยที่บ้านหลังนี้พร้อมสาวใช้โดยมีนายธนัช คุณพ่อพักอาศัยอยู่ด้วยเช่นกันจนกระทั่งเรื่องราวมาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมากลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 10 คนได้บุกเข้ามาในบ้านพร้อมอ้างว่าได้รับคำสั่งจากพล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ให้เข้ามาดูแลและเฝ้าบ้านในฐานะเจ้าครองผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมซึ่งตนเองและครอบรัวเกรงว่าจะได้รับอันตรายจากกลุ่มชายดังกล่าวจึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานพร้อมทั้งแสดงโฉนดและชื่อทะเบียนบ้านที่มีชื่อของตนเองเป็นเจ้าของพร้อมวอนขอให้กลุ่มชายดังกล่าวออกจากบ้านโดยหลังจากนี้คงต้องปรึกษาข้อกฎหมายเพื่อดำเนินการต่อไปกับนายทหารคนดังกล่าวต่อไป
น้องบียังกล่าวอีกว่าหลังจากคุณแม่ป่วยด้วยมะเร็งลำไส้ทางพล.ร.อ.บรรณวิทย์ ที่มีครอบครัวอยู่แล้วไม่เคยมาเหลียวแลและใส่ใจในตัวคุณแม่เลยมีเพียงคุณพ่อเพียงคนเดียวที่กลับมาดูใจคุณแม่จนถึงนาทีสุดท้าย ตอนนี้ตนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้ว “หนูขอความเป็นธรรมกับพี่ๆสื่อมวลชนด้วยบ้านที่ดินล้วนแล้วแต่เป็นชื่อของหนูที่คุณแม่มอบไว้ให้ก่อนเสียชีวิตแต่อยู่ดีๆกับถูกนายทหารชื่อดังคนนี้เข้ามายึดครองและบอกว่ามีส่วนร่วมในบ้านหลังนี้
ตอนนี้หนูเองลำบากมากเพราะไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้เนื่องจากเขานำช่างมาเปลี่ยนกุญแจบ้านทั้งบ้านไม่ให้หนูกับน้องสาวเข้าไปอยู่แม้แต่สุนัขพันธ์เฟ้นบลูด็อกที่เลี้ยงไว้ก็ยังไม่สามารถนำออกมาได้ต้องขอร้องคนในบ้านให้ช่วยส่งคืนจนกระทั่งแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของคุณแม่อุ้มออกมาให้ตนเอง และก่อนที่คุณแม่จะสิ้นใจนายทหารคนนี้ยังพยายามแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับหนูและน้องสาวจนคุณแม่ประกาศตัดความสัมพันธ์และเขาหายไปจากครอบครัวนานกว่า 3 ปี แต่อยู่ดีๆกับมาอ้างสิทธิ์ในบ้านหลังนี้ทั้งๆ ที่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่สร้างบ้านครอบครัวของเราหาซื้อมาด้วยหยาดเหงื่อของตัวเอง” ตนและครอบครัวจึงอยากขอความเป็นธรรมด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: