หลังมติที่ประชุมมหาเถรสมาคม ออกกฎเหล็กแจ้งเจ้าอาวาสวัดทั่วประเทศเข้ม งานบวชยึดระเบียบว่าด้วยการจัดงานวัด พ.ศ.2537 ข้อ 7 ที่ให้การจัดงานวัดทุกประเภท ห้ามไม่ให้มี อาทิ การแสดงใดๆ ที่เป็นการลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์, การพนัน และการหารายได้โดยวิธีเสี่ยงโชค, การเต้นรำวง และการแสดงภาพนิ่ง หรือภาพยนตร์ลามกอนาจาร, การจำหน่าย หรือเลี้ยงสุรา เป็นต้น หากเจ้าอาวาสฝ่าฝืนจะมีความผิดฐานละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ ต้องได้รับโทษนั้น
ล่าสุด อ๊อด โฟร์เอส เจ้าพ่อรำวงชาวบ้านออกมาให้ความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวแบบตรงไปตรงมาว่า
“ แก้ปัญหาแบบนี้ วัดทั่วไปจะจัดงานได้อย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดส่วนบุคคล ทุกวันนี้แต่ละวัดเขาก็มีข้อปฎิบัติในเรื่องการจัดงานอยู่แล้ว ศาสนาวัฒนธรรมต้องเดินคู่กัน วัดใหญ่ๆไม่ต้องจัดงานก็อยู่ได้โทรกริ่งเดียวก็มีคนเอาเงินมาบริจาค วัดเล็กๆถ้าไม่มีการจัดงาน ไม่มีมหรสพจะอยู่อย่างไร อย่างงานบวชช่วงที่รับนาคจากวัดมาบ้าน ตรงนี้เต็มที่เลย แต่ตอนที่นำนาคไปวัดอันนี้ไม่ควรกินเหล้า การใช้เครื่องเสียงก็ต้องมีการขออนุญาตซึ่งเครื่องเสียงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ดังมากมาย ถามว่าตอนนี้ รำวง กระทบไหม ยังไม่เจอ แต่ก็มีเจ้าภาพที่ตื่นตระหนก บางคนยังไม่ได้เปิดดูข้อมูลก็โทรมาบ้าง บอกเลยเขาแก้ไม่ถูกจุด เล่นเหมารวมมันไม่ใช่”
เมื่อถามว่าจะบอกกับทางการอย่างไรในฐานะนักร้องรำวง อ๊อด โฟร์เอสบอกว่า
“ กลองยาว แตรวงเขามีมาแต่โบราณ มันต้องแยกแยะ รำวงเขามีวิธีการรูปแบบ อย่างที่ผมทำ ร้อง4เพลงต่อ1รอบ วัยรุ่นที่ขึ้นมารำวงมาเต้นในแบบที่ไม่สุภาพ เต้นกระเดาหน้ากระเดาหลังผมจะบอกเขาเลยว่าพี่ป้าน้าอาเขาจะสนุกสนาน ต้องเต้นให้เหมือนๆเขาด้วย บางทีบางวงบอกเป็นวงรำวง แต่เล่นเพลงสมัยใหม่ที่มันไม่ใช่รำวง เพลงใหม่ก็เต้นกันแบบใหม่ เลยทำให้คนเข้าใจรำวงผิดๆ ผู้ใหญ่ท่านแก้ปัญหาถูกจุดกันหรือเปล่าเล่นมาเหมารวมแบบนี้ เคยถามความรู้สึกของคนที่ทำอาชีพนี้ก่อนหรือเปล่า”
ทางด้าน แนนซี่ ท๊อปไลน์คอมโบ้ นักร้องรำวงรุ่นใหม่ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวว่า
“ หนูก็โดนมางานหนึ่งคือไม่ให้คนขึ้นมารำบนฟอร์รำวงแต่ให้เต้นข้างล่างได้ ถ้าบอกไม่ให้มีรำวงในวัดมีผลกระทบแน่ๆเพราะในระเบียบที่ว่ามันมีคำว่า ‘การเต้นรำวง’ มันเกี่ยวหมดเลยนะทั้งแดนท์เซอร์ นางรำ หนูว่าแก้ไม่ถูกจุด ควรแก้ไม่ให้ดื่มเหล้าในวัดมากกว่า งานปีของวัดก็ต้องมีความสนุกสนาน ชาวบ้านมีความสุขได้รำวงทำบุญช่วยวัด ได้อนุรักษ์วัฒนธรรมของปู่ย่าตายาย ต้องรอดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร”
