ระนอง โล่งหลังพม่าระงับห้าม นทท.ต่างชาติข้ามไปเกาะสอง ลดความเสี่ยงระนอง
ระนอง- 19 มี.ค 63 นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง แจ้งว่า ได้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาจังหวัดระนองเป็นจำนวนมากผิดปกติ ทำให้ประชาชนในจังหวัดระนองกลัวการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เนื่องจากประเทศมาเลเซียได้ทำการปิดประเทศ จึงทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่วีซ่าจะหมดอายุจะต้องมาต่อวีซ่าใหม่ จึงได้เดินทางมาต่อวีซ่าจังหวัดระนองที่ด่านพรมแดนไทย-เมียนมา (เกาะสอง)
ซึ่งต่อมาได้รับแจ้งจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่า ในเวลา 12.00 น.ของวันนี้( 19 มี.ค 63 )ทางการสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติที่ถือพาสปอร์ตเล่มสีน้ำตาลข้ามไปที่จังหวัดเกาะสอง สำหรับคนไทย และชาวเมียนมายังสามารถเดินทางไปได้ตามปกติ โดยอนุญาตให้ผู้ที่ถือเอกสารเล่มเขียวที่กรมการปกครองออกให้และบอร์เดอร์พาส
ข่าวน่าสนใจ:
สำหรับต่างชาติที่ขออยู่ต่อและเดินทางมายังจังหวัดระนอง เพื่อต่อวีซ่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนองได้ประสานไปยังจังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อขออนุโลมเพื่อที่จะให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงจังหวัดระนองแล้วจะทำอย่างไร จะได้แก้ไขปัญหาต่อไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา อย่างไรก็ตามพรุ่งนี้จะไม่มีการไปต่อวีซ่าที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
สำหรับประเด็นที่ได้สั่งการ1.ด่านความมั่นคงของจังหวัดระนอง โดยให้ทหารประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่จะมาต่อวีซ่าทราบ สำหรับรถของชาวต่างชาติที่จะเข้ามาต่อวีซ่าที่ระนองให้กลับไป ซึ่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้มีหนังสือแจ้งตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศทราบว่า ให้ชาวต่างชาติที่ขอต่อวีซ่า สามารถต่อวีซ่ากับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนั้นๆ ได้เลย เป็นการชั่วคราวไม่เกินครั้งละ 30วัน เป็นมาตรการผ่อนผันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวที่อาศัยอยู่ในประเทศเรา ผ่อนผันไม่เกินครั้งละ 30 วัน โดยจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป
2.กรณีที่คนไทยกลับมาจากประเทศฝรั่งเศส จังหวัดระนองมี 1 ราย กลับมาวันที่ 16 มีนาคม 2563 ซึ่งอยู่ที่อำเภอละอุ่น ทางจังหวัดระนองได้รับแจ้งแล้ว โดยสั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนอง ได้ตรวจแล้ว ไม่มีไข้ และแยกตัวเองอยู่คนเดียวที่บ้านของตนเอง ทีมปกครองและสาธารณสุขจะอยู่ตรวจ พร้อมให้กำลังใจ เมื่อเกิดปัญหาเราต้องผ่านวิกฤตไปด้วยกัน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: