ยก “ระนอง” สุดเหนียวรักษาฐานต้านไวรัส เหลือหนึ่งเดียวในภาคใต้เผยกุญแจสำคัญชุมชนสามัคคี
ระนอง- จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ที่พบการระบาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563 มีการพบผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันรายแรก นับเป็นรายแรกที่พบนอกประเทศจีน โดยเป็นหญิงชาวจีนอายุ 61 ปี ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในนครอู่ฮั่น เธอไม่เคยเดินทางไปยังตลาดอาหารทะเลหฺวาหนานมาก่อน แต่เคยไปที่ตลาดอื่นแทน เธอมีอาการเจ็บคอ มีไข้ มีอาการหนาวสะท้าน และปวดศีรษะในวันที่ 5 มกราคม และได้เดินทางกับครอบครัวและกลุ่มทัวร์จากนครอู่ฮั่นมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันที่ 8 มกราคม
โดยเธอถูกตรวจพบด้วยกล้องตรวจจับความร้อนและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในวันเดียวกัน สี่วันให้หลัง จากการใช้ RT-PCR ผลการทดสอบหาโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นผลเป็นบวก และจากการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนานกว่า 2 เดือน ผ่านระยะเวลาถึง 85 วันพบว่าหลายพื้นที่ของประเทศไทยพบมีการแพร่ระบาดกระจายไปเกือบทั่วทุกจังหวัด โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ภาคใต้ที่ล่าสุดยืนยันรายงานพบว่าเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2563 พื้นที่ภาคใต้พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแล้วถึง 13 จังหวัดเหลือเพียงจังหวัดเดียวคือ จ.ระนอง ที่สามารถยืนต้านสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ยาวนานที่สุด โดยจากรายงานล่าสุดในวันที่ 9 เม.ย. 2563 จังหวัดระนองยังไม่พบผู้ติดเชื้อ
สำหรับจุดที่สำคัญที่เป็นกูญแจที่ทำให้จังหวัดระนองสามารถรักษาฐานพื้นที่ให้เป็นสีขาวได้อย่างยาวนานกว่าพื้นที่อื่นๆ เป็นเพราะการร่วมมือ ร่วมใจของทุกหน่วยงาน รวมทั้งภาคประชาชน แม้กระทั่งแรงงานต่างด้าวที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดระนองพร้อมด้วยคณะกรรมการฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กล่าวว่า ชุมชนสามัคคี คือกุญแจสำคัญของระนอง
ที่ผ่านมาทางจังหวัดได้ทยอยออกคำสั่งกำหนดมาตรการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าประชาชนต่างพร้อมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผลจึงปรากฏออกมาเช่นขณะนี้ อาทิการปฏิบัติการในมาตรการสำคัญๆ มีดังนี้ ยกระดับการคัดกรองที่ด่าน จปร. อำเภอกระบุรี เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนจังหวัดระนองให้ได้มากที่สุด เนื่องจากตำบล จปร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง เป็นพื้นที่เขตรอยต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันมิให้โรคนั้นแพร่กระจายทั้งทางตรงหรือทางอ้อมไปยังประชาชนในจังหวัดระนอง จึงห้ามประชาชนเดินทางเข้าหรือออกนอกพื้นที่
หากบุคคลดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะเดินทางเข้ามาในจังหวัดระนอง บุคคลดังกล่าวจะต้องมีใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าไม่มีเชื้อไวรัสโคโรนาหรือโควิค 19 จึงจะเดินทางเข้ามาในจังหวัดระนองได้หรือข้อยกเว้นเฉพาะยานพาหนะสำหรับการขนส่งสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค แก๊สหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องมือแพทย์ ยานพาหนะกู้ชีพ กู้ภัย รถพยาบาล รถฉุกเฉิน ทางการแพทย์ รถที่ใช้สำหรับภารกิจของทางราชการ รถขนส่งพัสดุและสิ่งพิมพ์ ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตยกเว้นหรือผ่อนผันต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อโดยเคร่งครัด
ผู้ว่าราชการจังหวัดระนองได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้า และผู้มาซื้อสินค้าในตลาดสดซุปเปอร์มาเก็ตหรือร้านสะดวกซื้อจะต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าและล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์เจล หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ซึ่งทุกคนได้ตระหนักถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นอย่างดี และขอความร่วมมือให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของภาครัฐอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ได้เปิดปฏิบัติการซีทีสแกน หลังได้รับแจ้งว่ามีผู้กลับมาจาก กทม ตจว หลายราย พบว่าบางรายยังไม่รายงานตัว และไม่กักตัว โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่จากตำรวจ ปกครอง อส ท้องถิ่น อสม ลงพื้นที่ตรวจติดตาม และเดินเคาะประตูบ้านเพื่อตรวจสอบ พูดคุย ให้กำลังใจ บ้านที่มีผู้เดินทางกลับเข้ามาในพื้นที่เสี่ยง พบว่าบางคนยังไม่มีการรายงานตัว ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากผู้ใหญ่บ้าน ที่ม.3 มีผู้เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง ประมาณ 100 คน
นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง กล่าวว่า “ จังหวัดได้ปรับยุทธศาสตร์ ซึ่งการรบกับสงครามเชื้อโรคครั้งนี้ จุดแตกหักอยู่ที่หมู่บ้าน จึงเน้นการลงพื้นที่เพื่อซีทีสแกนลงลึกทุกหลังในหมู่บ้าน เพื่อตรวจสอบคนที่เดินทางจาก ตจว .เข้าพื้นที่ที่รายงานตัวแล้วว่าปฏิบัติตามที่สาธารณสุขกำหนดหรือไม่ในการกักตัวเอง 14 วัน รวมถึงผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ต้องทำหน้าที่ให้เข้มแข็ง เต็มที่ไม่เช่นนั้นท่านก็จะมีความผิด หากพบว่ามีการปล่อยปละละเลย ขอให้ทุกคนทำงานจริงจังเพื่อดูแลระนอง จะมีมาตรการกระชับเข้ามาเรื่อยเพื่อดูแลปกป้องระนอง เราจะทำแบบนี้ทั้ง 178 หมู่บ้าน 20 ชุมชน พี่น้องต้องให้ความร่วมมือ ช่วยเป็นหูเป็นตาด้วย ผมขอให้ความมั่นใจ นาทีนี้ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย การรบครั้งนี้แพ้ชนะอยู่ที่หมู่บ้านและชุมชน ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ” นายจตุพจน์กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: