ภูมิใจไทยกำหนดปราศรัยใหญ่ช่วยผู้สมัครระนอง 10 มี.ค.
ระนอง-นายคงกฤษ ฉัตรมาลีรัตน์ หรือนายกเอ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฏรจังหวัดระนอง เขต 1 พรรคภูมิใจไทย หมายเลข 3 อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง และอดีตนายกสมาคมกีฬาจังหวัดระนอง กล่าวว่า ในวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2562 นี้ทางพรรคภูมิใจไทยจะเปิดเวทีปราศรัย เพื่อสนับสนุนการหาเสียงให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดระนอง หมายเลข 3 คือตนเอง โดยกำหนดขึ้นในเวลา 16.00 น. ณ ลานอเนกประสงค์หน้าเทศบาลเมืองระนอง อ.เมือง จ.ระนอง โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กำหนดเดินทางมาร่วมปราศรัยพบปะประชาชนชาวระนอง รวมทั้ง ดร.นาที รัชกิจประการ เหรัญญิกพรรค และ แม่ทัพภาคใต้ พร้อมแกนนำพรรคร่วมเวทีอย่างครบครัน เพื่อรวมแรงใจชาวระนอง ร่วมเปลี่ยนแปลง เดินหน้า พัฒนาจังหวัดระนองไปด้วยกัน
นายคงกฤษกล่าวต่อว่า ตนพร้อมทีมงานออกหาเสียงในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พบกระแสตอบรับดีมากๆ โดยในช่วงแรกจะเน้นการหาเสียงแบบเดินเคาะประตูบ้านชาวบ้านในทุกบ้านในทุกพื้นที่ เพื่อแนะนำตัว และพูดคุยรับฟังปัญหาและความต้องการของชาวบ้านเพื่อตนจะได้นำไปผลักดันต่อไปหากได้รับการเลือกตั้ง
สำหรับนโยบายเร่งของตนเองที่มีต่อพื้นที่รับผิดชอบ จ.ระนอง หากได้รับการเลือกตั้งปัญหาเร่งความที่จะเร่งดำเนินการคือปัญหาเรื่องการทำการประมงที่ปัจจุบันพบว่ามีกฎระเบียบต่างๆมากมายจนสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบการประมง ซึ่งจะต้องหาแนวทางและวิธีการทางออกที่ดีที่สุดให้กับผู้ประกอบการประมงที่จะสามารถประกอบกิจการต่อไปได้ นอกจากนี้ปัญหาสำคัญเร่งด่วนอีกปัญหาของจังหวัดระนองคือปัญหาเรื่องเอกสารสิทฺธิ์ที่ดินในย่านการค้า อุตสาหกรรมที่ปัจจุบันมีกฎระเบียบหลายอย่างที่ทำให้เกิดปัญหาจนไม่สามรถที่จะขยายการค้า การลงทุนเพิ่มได้ โดยเฉพาะปัญหาที่ดินเช่นของ อบจ.ที่ตนเคยเข้าไปบริหารงาน 2 สมัย ปรากฏว่าเมื่อหมดสัญญาเช่าที่ดินผืนดังกล่าวซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจการค้าของ จ.ระนองแต่กลับกลายเป็นเขตพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน
ส่วนอีกเรื่องที่ต้องผลักดันอย่างจริงจังคือการขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดระนอง ที่ปัจจุบันพบว่า จ.ระนองไม่ได้เป็นเมืองรองอีกต่อไป สามารถเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักได้เนื่องจากมีทรัพยากรในด้านต่างๆที่สมบูรณ์ เพียงแต่การพัฒนาและการผลักดันอย่างจริงจัง ส่วนนโยบายสำคัญของพรรคคือการลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน เพื่อให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง
