ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เปิดปฏิบัติการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า หลังรับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองนักเรียน เด็กซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อนเมือง
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากที่ทำการปกครองจังหวัดน่าน ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองน่าน ตำรวจภูธรจังหวัดน่าน สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดน่าน สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่น่าน ด่านศุลกากรทุ่งช้าง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองน่าน ดำเนินการตรวจสอบ กวาดล้างจับกุมสถานประกอบการที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์ในพื้นที่อำเภอเมืองน่าน โดยพบสถานประกอบการที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 2 ราย
จุดที่ 1 ร้านขายของใกล้วัดสวนหอม หมู่ที่ 3 ตำบล ผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน พฤติการ เปิดร้านขายของชำ ขายบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งให้นักเรียน นักศึกษา และแบ่งบุหรี่จากซองขายให้นักเรียนนักศึกษา
จุดที่ 2 ร้านขายรองเท้า ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน พฤติการ เปิดร้านขายรองเท้า ขายบุหรี่ไฟฟ้าให้เด็กเยาวชน คนทั่วไป และขายน้ำกระท่อม หัวน้ำหวาน ยาแก้ไอ ให้เด็กและเยาวชน คนทั่วไป
ชุดปฎิบัติการได้ดำเนินการเข้าตรวจค้นพร้อมกันทั้ง 2 ร้าน พบว่ามีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้ง และบุหรี่ไฟฟ้าแบบเติม คอยล์บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์อื่นๆ จำนวนมาก จึงได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ร้าน
โดยของกลางที่ตรวจยึดได้ทั้งหมดเป็น บุหรี่ไฟฟ้าชนิดใช้แล้วทิ้งจำนวน 182 ชิ้น น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเติมจำนวน 458 ขวด เครื่องดูดบุหรี่จำนวน 1 ชิ้น และยาแก้ไอที่ใช้ต้มกับพืชกระท่อมจำนวน 672 ขวด
ทั้งนี้สืบเนื่องจากมีผู้ปกครองของเด็กนักเรียนจำนวนมาก ได้ร้องเรียนมาว่า มีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้นักเรียนนักศึกษา จากข้อมูลพบว่า โรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน มีนักเรียนบางคนซื้อบุหรี่ไฟฟ้า นำมาขายต่อให้เพื่อนนักเรียน รวมทั้งมีการสั่งซื้อโดยมีบริการนำส่งถึงสถานที่ที่ต้องการ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน จึงมีการประชุมวางแผนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะดำเนินการจับกุมร้านค้าหรือกลุ่มบุคคลที่นำบุหรี่ไฟฟ้ามาลักลอบจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการมอบเมาเด็กและเยาวชน สร้างความเสียหายต่อสังคม
โดยใช้เวลาติดตามพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลดังกล่าวจนทราบแน่ชัดแล้ว จึงขออนุมัติศาลจังหวัดน่านเพื่อออกหมายค้น แล้วเข้าค้นตรวจยึดและจับกุมผู้กระทำผิดได้ของกลางกว่าพันรายการและตัวผู้กระทำผิด 2 ราย ส่งดำเนินคดีความผิดกฎหมายห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งมีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหลายชนิด รวมทั้งโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง และมีปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจส่งผลกระทบเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้ใดขายหรือให้บริการ โดยมีค่าตอบแทนรวมถึงการซื้อมาเพื่อขายต่อ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองน่าน ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ต่อไป
ด้าน นาย วิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน กล่าวว่า สืบเนื่องจากว่าทางจังหวัดน่าน ได้รับทราบข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า มีการลักลอบจำหน่วยบุหรี่ไฟฟ้ารวมถึงพวกน้ำยาเติมและอุปกรณ์ต่างๆในพื้นที่ เลยมอบหมายให้ทางที่ทำการปกครองจังหวัดน่าน ได้สืบทราบแล้วก็ได้ทำการสนธิกำลัง จากภาคส่วนต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบและจับกุม จากการดำเนินการสามารถจับกุมผู้ ผู้กระทำความผิดได้ 2 จุดด้วยกัน ในพื้นที่เขตอำเภอเมืองน่าน ซึ่งได้พบของกลางเป็นบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 178 ชิ้น น้ำยาเติมบุหรี่ไฟฟ้า 400 กว่าขวด และที่พบเพิ่มเติมก็จะเป็นยาแก้ไอ 600 กว่าขวด ก็ได้ทำการจับกุม แล้วดำเนินการส่งตำรวจเพื่อดำเนินคดี
ซึ่งจากการติดตามและเฝ้าระวัง เพื่อวางแผนดำเนินการ เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดรู้ตัว และจากการสืบทราบก็มีการลักลอบจำหน่ายมีเวลานานพอสมควร แต่เราก็พยามเช็คข่าวเพื่อเก็บข้อมูลให้มั่นใจ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้แนสิ่งที่มอมเมา เด็กและเยาวชนในพื้นที่ และก็ส่งผลในเรื่องของร่างกายก็เลยต้องเร่งรัดดำเนินการ
อย่างไรก็ตามก็ฝากให้พ่อแม่พี่น้องประชาชน ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งมอมเมาเยาวชน แม้ว่ามันม่ใช่บุหรี่ที่รู้จักกันทั่วงไป แต่ก็เป็นส่วนของสารเคมีที่มาสังเคราะห์เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะมีโอกาส สะสมในร่างกายและเป็นพิษในร่างกาย และก็เป็นการผิดกฎหมายในการนำเข้า ก็อยากให้พ่อแม่พี่น้องได้ตระหนักถึงในเรื่องนี้
