สู้ในสภาไม่ดีกว่าสู้บนถนนเหรอ “วีระบุรุษ สู้เพื่อคนรุ่นต่อไป นักการเมืองสู้เพื่อผลเลือกตั้งครั้งต่อไป
“ธราธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้เข้าไปทำหน้าที่ผู้แทนราษฏร เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ระบอบตัวแทน
แต่ธนาธรอ่านกฎหมายไม่หมด หรืออาจจะตีความกฎหมายไม่แตก หรือมีเจตนาอย่างอื่นไม่ทราบได้ ในวันสมัครรับเลือกตั้งธนาธรยังถือหุ้นในบริษัท วีลัก มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสื่อ แม้ธนาธรจะพยามอธิบายว่า ได้โอนหุ้นให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นแม่ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม อีกหนึ่งเหตุผลบอกว่า บริษัท วีลักไม่ได้ผลิตสื่อบ้าง เลิกกิจการไปแล้วบ้าง
แต่เหตุผลของธนาธร ศาลรัฐธรรมนูญฟังแล้วไม่เชื่อ ไม่มีหลักฐานยืนยัน และที่บอกว่าโอนหุ้นให้แม่เมื่อวันที่ 8 มีนาคมนั้น เป็นแค่การโอนกันภายในครอบครัว แต่ไม่ได้จดทะเบียนการโอนกับกรมทะเบียนการค้า จึงยังไม่มีผลใดๆ
ศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าธนาธรยังถือหุ้นสื่ออยู่ และถือว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญจึงพิพากษาให้ธนาธรพ้นจากการเป็น ส.ส. แต่พรรคอนาคตใหม่ก็ส่งธนาธรเข้ามาทำงานในสภา ในฐานะกรรมาธิการงบประมาณ แต่ธนาธรก็ #ลาออก โดยอ้างเหตุผลว่า เขาไม่อยากให้อยู่ในสภา และเป็นการลาออกจากสภาหลังแม่ทัพนายกองมาชี้แจงงบประมาณปี 2562 และธนาธรก็ยำเละงบกลาโหม รวมถึงเงินนอกงบประมาณ และประกาศเดินหน้างานนอกสภา อ้างเคียงข้างประชาชน
เวทีแรกคือการพูดฝ่ายเดียวบน face book live พร้อมอธิบายสารพัดเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และงบประมาณทหาร ตีความง่ายๆ ว่ามีเป้าหมายพุ่งตรงไปยังทหาร
ต่อสู้กับคนคนนั้น
ธนาธรบอกว่าเขาไม่อยากให้เราอยู่ในสภา แต่ไม่ได้บอกว่า “เขา” คือใคร และยังบอกว่า “ต่อสู้กับคนคนนั้น”ก็ไม่ได้บอกว่าคนคนนั้นคือใคร พูดลอยๆสร้างความงุนงงสงสัยให้กับประชาชนว่า เขาคือใคร ทั้งๆที่ความผิดพลาดเกิดจนเนื้อมนของตัวเอง และลาออกเอง ไม่มีใครกดดันให้ลาออก
“มีคนมากมายถามผมทั้งทางออนไลน์และตอนลงพื้นที่ ว่าเมื่อไหร่จะลงถนน เค้าพูดกันว่าร่างกายต้องการปะทะแก๊สน้ำตา” คำกล่าวของธราธร
แม้จะตัดสินใจเดินออกจากการมีทุกตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังคงทำกิจกรรมในหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการไปบรรยายตามเวทีต่างๆ ภายใต้คำถามที่ว่ากำลังเตรียมตัวเป็นผู้นำมวลชนนอกสภาหรือไม่
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. “ธนาธร” ได้ไปพูดบนเวทีของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย โดยเวทีในวันนั้นหัวหน้าพรรคได้กล่าวไว้น่าสนใจถึงการเคลื่อนไหวในอนาคต
“เราตั้งพรรคขึ้นมาเพราะพวกเราอยากทำให้ผู้คนกลับมาศรัทธาประชาธิปไตยและสภาอีกครั้ง เราสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น ตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบการใช้ ม.44, รณรงค์ให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญ และได้ยื่นร่าง พ.ร.บ. ที่ทำให้กองทัพทันสมัยขึ้น”
วิ่งไล่ลุง
จะใครจัดก็ตามกิจกรรม ”วิ่งไล่ลุง”ในเดือนมกราคม แต่ได้ถูกโยงเข้ามาสู่การเมืองแล้ว เมื่อธนาธรหยิบขึ้นมาพูด และโลโก้ที่นำมาใช้วิ่งไล่ลุงก็ไปเหมือนกับโลโก้บริษัทหนึ่งที่เขาทำธุรกิจไม่เกี่ยวกับการเมือง จนกิจกรรมวิ่งไล่ลุงต้องปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ และนี้น่าจะเป็นกิจกรรมบนถนนกิจกรรมแรกที่เป็นกีฬาแต่ถูกนำมาโยงกับการเมือง
เมื่ออำลาจากธุรกิจและประกาศเจตนาลงเล่นการเมือง ตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมามีนโยบายดีๆมากมาย มีแนวคิดแนวทางหลายอย่างน่าสนใจ ธนาธรควรจะไปสู้ในสภาดีกว่าสู้นอกสภา เพราะสู้ในสภา ถ้าชนะก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ แต่สู้นอกสภาไม่รู้จะขนะอย่างไร ขนะแล้วจะได้อะไร มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นในสภา
หรือเพียงหวังผลสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า หาเสียงกับเด็ก เยาวชน เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาและได้รับการเลือกตั้งเข้ามาท่วมท้น เกินความคาดหมาย อาจจะเล็งเห็นว่า รัฐบาลง่อนแง่น เสียงปริ่มน้ำ ไม่น่าจะอยู่ได้นาน จนตัองจัดงานเลี้ยงสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อประสานรอยแยกแก้ปัญหา “สภาล่ม” จึงตั้งเป้าเอาเวลาไปสู้นอกสภาดีกว่าไปหมกตัวอยู่ในสภา
วีระบุรุษเขาสู้เพื่อคนรุ่นต่อไป นักการเมืองสู้เพื่อผลการเลือกตั้งครั้งต่อไป คิดเอาเองนะธราธร จะเป็นวีระบุรุษ หรือแค่นักการเมือง
ด้วยความเคารพ
นายหัวไทร
4 ธันวาคม 2562
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: