“กอบชัย” ชูจรวด 3 ลูก ขับเคลื่อนเอสเอ็มอี พร้อมสั่งการเร่งเปิดศูนย์ ITC เพิ่ม 7 แห่ง เล็งจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจเอสเอ็มอีไทยใน T-GoodTech ปลาย ก.ค.นี้
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) มุ่งเสริมความเข้มแข็งให้กับเอสเอ็มอีทุกระดับให้มีการปรับตัวก้าวทันกับสถานการณ์ดิจิทัลของโลก รวมทั้งมุ่งพัฒนาเอสเอ็มอีให้เป็นเอสเอ็มอี 4.0 (Smart SMEs) ผ่านเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาภายใต้แนวคิด 4 TOOL (เครื่องมือ) กับ 1 Strategy (กลยุทธ์)
ประกอบด้วย 1.IT การให้บริการด้านการพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศ 2. Automation การพัฒนาระบบการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต 3.Robot ลดการใช้แรงงานในกระบวนการผลิต และ 4.Innovation การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และอีก 1 Strategy คือ มุ่งพัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ Cluster ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญในการต่อยอดของ SMEs ไทยให้เข้มแข็ง
โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้สร้างความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น ภายใต้โครงการ Connected Industries นำร่องกิจกรรม “3–Stage Rocket Approach” หรือ“จรวด 3 ขั้นผลักดัน SMEs สู่ 4.0” ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) Visualize Machine คือ การรวบรวมข้อมูลจากเครื่องจักรให้เป็นดิจิทัลและนำมาใช้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต 2) Visualize Craftsmanship คือ การเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวของแรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
เพื่อวิเคราะห์การทำงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้ง 2 ขั้นตอนดังกล่าว กสอ. มีแผนดำเนินการในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยเตรียมงบประมาณไว้กว่า 70 ล้านบาท เพื่อตรวจเช็คประสิทธิภาพระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิตให้กับเอสเอ็มอีกว่า 500 กิจการทั่วประเทศ ส่วนขั้นตอนที่ 3) Lean Automation System Integrators : หรือ LASI Project คือ การพัฒนาโครงการสาธิตการผลิตแบบลีนออโตเมชั่น
ที่ได้ดำเนินงานร่วมกับบริษัท DENSO จัดตั้งศูนย์ Lean Automation System Integrator พร้อมระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ เพื่อใช้เสริมด้านการเรียนรู้ และกระตุ้น Demand (ความต้องการซื้อ) และอุปทาน Supply (ความต้องการขาย) ในอุตสาหกรรม S-Curve ที่เป็นหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยศูนย์ LASI นับเป็นหนึ่งในบริการภายใต้ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) ที่กระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้ กสอ. ดำเนินการเพื่อยกระดับให้เอสเอ็มอีก้าวสู่ SME 4.0 โดยเร็ว
นอกจากนี้ กสอ. ยังได้ร่วมกับ บริษัท ปตท. จัดตั้งอาคารต้นคูณ ภายในศูนย์ ITC สำหรับให้บริการปรึกษาแนะนำด้านอุตสาหกรรมพลาสติกและพลาสติกชีวภาพ ผ่านระบบ VDO Conference กับผู้เชี่ยวชาญของทางสำนักงานใหญ่ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย ขณะเดียวกันก็ได้มีการขยายการบริการศูนย์ ITC ไปยังศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค รวม 5 ศูนย์ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก อุบลราชธานี สงขลา และศูนย์เซรามิค จังหวัดลำปาง ซึ่งผลการให้บริการนับตั้งแต่เปิดโครงการฯ มาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้ให้บริการด้านการสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ 271 ราย บริการออกแบบผลิตภัณฑ์ 228 ราย แปรรูปการเกษตร/อาหาร 138 ราย ด้านบรรจุภัณฑ์ 61 ราย การให้บริการเครื่องจักรกลาง 59 ราย และให้บริการศึกษาดูงานและฝึกอบรม/สัมมนา รวม 4,888 ราย รวมให้บริการทุกประเภทจำนวน 5,645 ราย อย่างไรก็ดี กสอ. มีแผนเร่งดำเนินการเปิดศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีก 7 แห่ง ภายในศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคจังหวัดพิจิตร อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา สุพรรณบุรี ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการครบทุกแห่งภายในเดือนกรกฎาคม 2561
นอกจากนี้ ในด้านการยกระดับเอสเอ็มอีสู่สากล กสอ.ยังได้ดำเนินการโครงการ Digital Value Chain โดยมุ่งหวังผลักดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสู่ห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก (Global Value Chain) และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีผ่านเว็บไซต์และระบบฐานข้อมูลจับคู่ธุรกิจออนไลน์ ภายใต้ชื่อT-GoodTech (Thai Good Technology) ที่เป็นช่องทางการจับคู่ระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business : B2B) ระหว่างผู้ประกอบการไทยด้วยกันเอง
และเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูล T-GoodTech ของไทยกับระบบฐานข้อมูล J-GoodTech ของญี่ปุ่น ที่มีฐานข้อมูลของผู้ประกอบการจาก 11 ประเทศ กว่า 17,000 ราย (ปัจจุบันประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ 1,365 ราย) ซึ่งจะทำให้เกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการทั่วโลกได้
“การดำเนินโครงการ Digital Value Chain มีเป้าหมายโครงการให้ SMEs อยู่บนระบบฐานข้อมูล J-GoodTech และ T-Good Tech รวมจำนวน 2,600 ราย ภายในปี 2561 ซึ่งขณะนี้มี SMEs สมัครภายใต้ T-GoodTech ภายในเว็บไซต์ http://www.tgoodtech.com แล้วกว่า 1,100 ราย โดยคาดหวังจะเกิดการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยกว่า 80 ราย
และเตรียมขยายการเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยกับญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ อาทิ ฮ่องกง ประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เพื่อสร้างความมั่นใจในสินค้าและบริการของ SMEs ไทย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตานานาประเทศ พร้อมทั้งทำให้สินค้าและบริการของไทยขยายตลาดไปสู่ระดับสากลได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน กสอ. ได้กำหนดจัดกิจกรรมการเจรจาจับคู่ธุรกิจและแสดงสินค้าปลายเดือนกรกฎาคม 2561 เพื่อส่งเสริมการเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างกันให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ลงทะเบียนในเว็บไซต์ T-GoodTech ระหว่างผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหาร กับสมาคมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร เช่น สมาคมภัตตาคาร สมาคมการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม โดยคาดหวังให้เกิดการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยด้วยกันเองจำนวนไม่น้อยกว่า 50 ราย” นายกอบชัย กล่าว
สำหรับในด้านการพัฒนาเครือข่ายอุตสาหกรรมทั้ง Cluster และ Super Cluster กสอ. มีบทบาทในการพัฒนาคลัสเตอร์มาตั้งแต่ปี 2549 ปัจจุบันได้รับการพัฒนาจนเข้มแข็งแล้ว จำนวน 86 กลุ่ม จนเกิดเป็นความร่วมมืออย่างเหนียวแน่นขึ้นภายในกลุ่ม สามารถเชื่อมโยงและร่วมกันพัฒนาศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 ที่ผ่านมากลุ่ม Cluster และ Super Cluster ที่ กสอ. เข้าไปส่งเสริมและพัฒนา สามารถต้นทุนได้กว่า 800 ล้านบาท
ดังนั้นในปี 2561 กสอ. ยังคงให้ความสำคัญและมุ่งเน้นการพัฒนาการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรม (Cluster) โดยตั้งเป้าพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรม 14 กลุ่ม/280 กิจการ ครอบคลุมสาขาต่างๆ เช่น เกษตรแปรรูป เครื่องสำอาง ข้าวอินทรีย์ ผ้าทอ ของฝากของที่ระลึก เป็นต้น ส่วนในด้านการสร้างและเชื่อมโยงเครือข่ายคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Super Cluster) ตั้งเป้าพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรม 8 กลุ่ม/160 กิจการ ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อาหารแห่งอนาคต ดิจิทัล และเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2562 การส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีของ กสอ. จะเน้นไปที่ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด โดยการแบ่งประเภทของอุตสาหกรรมและจัดกลุ่มเพื่อเข้าไปให้การช่วยเหลือทั้งในด้านการพัฒนาองค์ความรู้ วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ช่องทางในการตลาด ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน โดยพิจารณาถึงความคุ้มค่าและผลตอบรับที่ผู้ประกอบการจะได้รับ รวมทั้งจะมีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นองค์ความรู้จากต้นแบบธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายอื่นๆ ได้นำไปเป็นกรณีศึกษาพร้อมนำไปปรับใช้ในธุรกิจของตนเองต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: