องค์การอนามัยโลกคาดปี 2563 โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 3 ของประชากรโลก ด้านกระทรวงสาธารณสุขเตรียมขยายคลินิกโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบง่ายสู่บริการปฐมภูมิ ให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการที่ใกล้บ้านยิ่งขึ้น
นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า โรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นโรคที่ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขอยู่ในลำดับต้นๆ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย มักมีอาการหอบรุนแรงต้องเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินและนอนรักษาในโรงพยาบาล จากสถิติ-สาธารณสุข ปี 2558 มีผู้ป่วยโรคหืดนอนรักษาในโรงพยาบาล 115,577 คน ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 249,742 คน
โดยไทยพบผู้ป่วยโรคหืดประมาณร้อยละ 7 ของประชากร และพบผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอีกจำนวน 1.5 ล้านคน คาดว่าผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปประมาณร้อยละ 5 ป่วยเป็นโรคนี้ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกประมาณการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2020 หรือ พ.ศ. 2563 โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของประชากรโลก
นายแพทย์มรุต กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้โรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD & Asthma) เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดบริการความเป็นเลิศด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Service Excellence NCDs) มุ่งเน้นการดูแลรักษาแบบองค์รวมในรูปแบบเครือข่ายบริการสุขภาพ
ข่าวน่าสนใจ:
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีโรงพยาบาลเครือข่ายที่มีคลินิกโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแบบง่ายแล้ว 1,415 แห่ง ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอัตราการกำเริบรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ส่งผลให้ในปี 2554-2557 จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาและนอนในโรงพยาบาลลดลงกว่า ร้อยละ 23
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในปี 2558-2560 พบอัตราการกำเริบเฉียบพลันของโรคหอบหืดเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย โดยในอนาคตอันใกล้นี้จะส่งเสริมให้สถานบริการสาธารณสุขหรือสมาชิกเครือข่ายที่ทำคลินิกได้มาตรฐานแล้วขยายรูปแบบและแนวทางการรักษาไปสู่ระบบบริการปฐมภูมิหรือ PCC (Primary Care Custer) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาที่ใกล้บ้านมากยิ่งขึ้น
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: