ทนายคู่ใจ ชี้ข้อกฎหมายคดีฆ่าหั่นศพ “น้องเมย์” เข้าข่าย เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองฯ เนื่องจากก่อเหตุด้วยอารมณ์ชั่ววูบยังมีเวลาคิดทบทวน แต่ผู้ต้องหายังลงมือต่อ จึงเข้าข่าย ม. 289 โทษถึงขั้นประหารชีวิต
จากกรณี เหตุฆาตกรรมหั่นศพสาวผมแดง หรือ น.ส.ลักษณา หรือ “เมย์” กำลังเก่ง อายุ 24 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด พนักงานบัญชี ยัดใส่กระสอบปุ๋ยโยนทิ้งป่า ในซ.สามวา ตรงข้ามโรงงานที่นอนดาริ่ง ก่อนตำรวจจะควบคุมตัว นายธนกฤต หรือ “วุธ” ประกอบ อายุ 36 ปี อดีตแฟนหนุ่ม และแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซ่อนเร้นย้ายทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายหรือสาเหตุแห่งการตาย
ล่าสุด ทนายรณรงค์ แก้วเพชร์ ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก “ทนายคู่ใจ” ถึงคดีดังกล่าว โดยระบุว่า “มุมนี้น่าสนใจว่า เป็นเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กรณี การทุบซ้ำหลังจากรู้ตัวว่าฟื้นขึ้นมา มันมีช่วงระยะเวลาให้คิดทบทวน 1 ชั่วโมง ที่จะเปลี่ยนแปลงคดีว่า จะโดนประหารชีวิตหรือไม่
ซึ่งจริงๆ ยังมีอีกมุมหนึ่งว่า การใช้ค้อนทุบ 3-4 ครั้ง เป็นการฆ่าโดยทารุณโหดร้าย ทำให้ผู้ตายได้รับความทุกข์ทรมานก่อนตายขนาดไหน เพราะเชื่อว่า ผู้ตายคงไม่ได้ตายทันทีที่มีการทุบลงไปอย่างแน่นอน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล เข้าข่ายข้อกฎหมายมาตรา 289 ซึ่งมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต สถานเดียว โดยไม่นับรวมถึงผู้ต้องหายังนอนอยู่ในห้องกับศพผู้ตาย อ้างว่า ไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ผู้ตายถูกทุบหัวจนเสียชีวิตแล้ว และควรจะมีเลือดกระเซ็นไปทั่วห้องหรือเปล่า”
ทำให้มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นถึงการกระทำ และความผิด รวมถึงโทษที่ผู้ต้องหาควรจะได้รับ เช่น หากเป็นความคิดชั่ววูบของผู้ต้องห่า เมื่อทุบไปแล้วยังมีเวลาให้ตั้งสติเพื่อพาผู้ตายไปโรงพยาบาล หรือโทรขอความช่วยเหลือ และที่สำคัญมีการใช้ผ้าคลุมแล้วทุบ แสดงถึงความตั้งใจฆ่า มีการคิดตระเตรียมไว้ล่วงหน้า และไม่ต้องการให้เลือดกระเด็น
โดย ทนายรณรงค์ ยังระบุว่า “การเคลื่อนไหวขององค์กร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เป็นเรื่องผิดที่ผิดเวลา ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย ทำให้ประชาชนไม่เห็นด้วย” ขณะที่ประชาชนแสดงความเห็นว่า สังคมไทยทุกวันนี้อยู่อย่างหวาดระแวง และรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมจากภาครัฐ เมื่อองค์กรสิทธิแสดงความเคลื่อนไหว จึงเหมือนน้ำกำลังเชี่ยวเอาเรือมาขวาง
