สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งข้อสงสัยการประมูงโครงการรถไฟความเร็วสูงอาจมีการฮั้วกันเกิดขึ้น ชี้รัฐบาลควรชะลอและทบทวนโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกทั้งระบบ โดยการมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจของประชาชนในทุกขั้นตอน
นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.) กล่าวว่า สืบเนื่องจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้มีประกาศ คสช.หลายฉบับเพื่อเร่งรัดให้มีการจัดตั้ง “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” หรือ อีอีซี และต่อมาได้มีการออก“พระราชบัญญัติเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561”
เพื่อสนับสนุนโครงการนี้จึงได้กำหนดให้มีการจัดสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โดยมีระยะทาง ระยะทาง 220 กม.มูลค่าโครงการ 224,544.36 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาการเดินทางประมาณ 1.40 ชม. ราคาค่าโดยสาร 476 บาทผู้รับผิดชอบโครงการคือ การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)โดยโครงการดังกล่าวได้มีการเริ่มดำเนินการเปิดขายเอกสารการคัดเลือกเอกชน
เพื่อเข้าประมูลโครงการในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2561 ประมูลกันเมื่อปลายปี 2561 เบื้องต้นมีผู้ซื้อซองประมูลราคาสนใจซื้อเอกสารการคัดเลือกจำนวน 31 ราย และต่อมามีผู้ยื่นซองข้อเสนอราคาประมูลโครงการเพียง 2 ราย คือ กิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัดและ กิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) ซึ่งปรากฏตอนหลังว่าทั้ง 31 รายที่สนใจซื้อเอกสารการคัดเลือกได้ไปมีรายชื่อในสองกลุ่มที่ยื่นซองข้อเสนอราคาประมูล
ซึ่งก่อให้เกิดคำถามต่อสาธารณะว่าเป็นการ “ฮั้ว”กันหรือไม่ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 ผู้ที่ชนะการประมูลโครงการ คือกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด โดยเป็นผู้เสนอขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลต่ำสุดในราคา 117,227 ล้านบาท ต่ำกว่ากลุ่มบีเอสอาร์ ที่เสนอขอรับอุดหนุน 196,934 ล้านบาท ถึง 52,707 ล้านบาทสิทธิประโยชน์ที่เอกชนจะได้รับจากการเข้าดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือ
1.บริหารรูปแบบโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
2.ได้สัมปทานบริหารแอร์พอร์ตลิงก์ที่มีฐานคนใช้กว่า 8 หมื่นคนต่อวัน
3.ได้สัมปทานในการครอบครองพื้นที่มักกะสัน 100 ไร่ และพื้นที่รอบสถานีศรีราชา 25 ไร่เพื่อพัฒนาเชิงพาณิชย์
4.รับมอบพื้นที่มักกะสันอีก 50 ไร่ที่อยู่ติดกับโรงซ่อมบำรุงรถไฟและพื้นที่เวนคืนอื่นๆ ให้กับเอกชนภายใน 5 ปี
5.โอกาสในการเดินรถต่อเฟส 2 ช่วงอู่ตะเภา-ตราด
จากวันที่ชนะการประมูลจนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 ได้มีการนัดเจรจาอีกครั้งหนึ่ง แต่ทางกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์จำกัด ได้แจ้งขอเลื่อนการเจรจาไปเป็นวันที่ 13 มีนาคม 2562 ด้วยเหตุที่กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด ได้ยื่นข้อเสนอซอง 4 (ข้อเสนออื่นๆ) 108 ข้อ ถูกปัดตก 11 ข้อ เช่น
1.ลดสัดส่วนหุ้น ซีพี จาก 70% เหลือ 5% แบบมีเงื่อนไข
2.รัฐค้ำประกัน ร.ฟ.ท. หากมีปัญหา-รัฐหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 4%
3.รัฐจ่ายเงินอุดหนุนตั้งแต่ปีที่ 1 จากเดิม อุดหนุน ปีที่ 6
4.ให้ธปท.ขยายเพดานเงินกู้เครือ ซีพี
5.ขยายสัมปทานจาก 50 ปี เป็น 99 ปี
6.ห้าม ร.ฟ.ท. เดินรถแข่งขันกับเอกชน
7.รัฐชดเชยหากอู่ตะเภาล่าช้า
8.ผ่อนชำระแอร์พอร์ตลิงค์ 11 ปี ดอกเบี้ย 3% จากต้องจ่ายก่อนรับสิทธิเดินรถ
9.จ่ายค่าเช่าที่ดินมักกะสัน-ศรีราชา 4.2 หมื่นล้านเมื่อมีผลตอบแทน
10.รัฐการันตีผลตอบแทน 6.75%
11.เปลี่ยนแบบจากยกระดับเป็นทางราบ
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.)นอกเหนือจากการให้ความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพองค์กรคือการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)แล้วเหนืออื่นใดซึ่งเป็นสิ่งที่กระทำมาโดยตลอดคือปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพยายามที่จะไม่ไปขัดขวางใดๆ
นอกจากการให้ความเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลเป็นระยะๆร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนที่ร่วมกันติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกันเพราะเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ มีเงินลงทุนที่สูงซึ่งจะเกี่ยวข้องกับฐานะการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต จนถึงปัจจุบันซึ่งความเป็นจริงผู้ที่ชนะการประมูลย่อมต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไข
เพราะย่อมรู้อยู่แล้วการเสนอราคาในการประมูลจนชนะคู่ประมูลว่าจะทำได้หรือไม่ได้“เว้นไว้แต่ว่าจะไม่ทำรถไฟความเร็วสูงแต่หวังประโยชน์ด้านอื่นมากกว่า การต่อรองในเรื่องรายละเอียดที่ใช้เวลาในการเจรจายืดเยื้อมานาน”แม้ว่า ทีโออาร์จะให้สามารถเจรจาได้แต่ต้องเจรจาในรายละเอียดปลีกย่อย
“ไม่ใช่เจรจาในสาระสำคัญที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์”ซึ่งจากการดูข้อเสนอเป็นการเจรจาที่ทำลายหลักการสำคัญอันจะทำให้ประเทศชาติ ประชาชนเสียประโยชน์ จึงขอให้ผู้มีหน้าที่ในการเจรจาระมัดระวังเพราะอาจนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีด้วยเหตุไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้รัฐเสียหายได้
จากเหตุปัจจัยต่างๆดังที่กล่าวมาทาง สร.รฟท.จึงมีความเห็นและข้อเสนอดังนี้
1.ข้อเสนอของผู้ชนะการประมูลเป็นข้อเสนอที่ทำลายหลักการและสาระสำคัญของโครงการ
2.การรถไฟฯไม่ควรรับข้อเสนอที่สูงจากผู้ชนะการประมูลเพราะจะทำให้การรถไฟฯ และรัฐเสียหาย
3.ขอให้รัฐทบทวนโครงการโดยให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจตั้งแต่ต้นเพราะที่สุดแล้วผลกระทบทั้งด้านบวกและลบย่อมเป็นภาระผูกพันกับประเทศชาติในอนาคตและโครงการดังกล่าวซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่แต่ยังไม่ผ่านการจัดทำเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)
4.เห็นสมควรให้รัฐดำเนินโครงการเองภายใต้การบริหารจัดการของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)และบริษัทรถไฟฟ้า รฟท.จำกัด(แอร์พอร์ตเรลลิงค์)โดยงบประมาณมาจากการพัฒนาที่ดินของการรถไฟฯ แล้วนำรายได้มาลงทุนในโครงการดังกล่าวซึ่งจะไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินและการก่อหนี้สาธารณะซึ่งปัจจุบันมีจำนวนที่สูงมากแล้ว
5.โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อสนับสนุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยปัจจุบันมีปัญหาอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งล้วนแต่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ เป็นการทำลายวิถีชีวิต ระบบเกษตร ระบบนิเวศน์ของพื้นที่โครงการ ประกอบกับ พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 มีหลายมาตราที่จะส่งผลเสียหายต่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
จึงเห็นควรให้ชะลอและทบทวนโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกทั้งระบบ โดยการมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจของประชาชนในทุกขั้นตอน ข้อเสนอทั้งหมดนี้ มิได้มุ่งหวังเพื่อขัดขวางการพัฒนาประเทศ เพียงแต่มีเจตนาที่ดีต้องการให้มีความรอบคอบ มีความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพราะประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีความเข้มแข็งและยั่งยืนได้
ต้องเริ่มมาจากการมีส่วนร่วมในการเสนอรับข้อคิดเห็นและร่วมตัดสินใจในประเทศไทย รัฐธรรมนูญและ กฎหมายหลายฉบับ นโยบายของรัฐบาลที่ย้ำพูดย้ำประกาศถึงเรื่องธรรมาภิบาล อันจะนำประเทศไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” โดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งหวังว่าข้อคิดเห็นข้อเสนอข้างต้นจะได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: