จ่าโอ๋ ตร.สืบสวน กับพวกอีก 11 คน ถูกหักเบี้ยเลี้ยง นำไปซื้อแอร์ติดห้องทำงาน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง แทงความเห็นไม่รับฟ้องคดีนี้ เนื่องจากตามฟ้อง ไม่ปรากฏว่า สารวัตร สน.พหลโยธิน มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยง
จากกรณี จ.ส.ต.เลอศักดิ์ นนท์ขุนทด หรือ “จ่าโอ๋” ตำรวจ สน.พหลโยธิน เข้าร้องเรียน ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ถูกนายตำรวจ ่ยศสูงกว่าหักเงินตกเบิกเบี้ยเลี้ยงตำรวจฝ่ายสืบสวนชั้นประทวน รวม 11 นาย เพื่อเอาไปซื้อแอร์ติดห้องทำงาน ล่าสุดวันนี้ ศาลได้นัดฟังคำสั่งคดี
วันนี้ 24 เม.ย.61 ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของ จ.ส.ต.เลอศักดิ์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิจารณาเห็นว่า การกระทำของเจ้าพนักงาน ที่จะเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 157 นั้น ต้องเป็นการใช้ “อำนาจ” ในตำแหน่งของเจ้าพนักงานนั้นเองโดยมิชอบ และปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติ สิ่งซึ่งอยู่ในหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ โดยทุจริต
ซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ ฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 2 คน เป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งสารวัตรสืบสวน ประจำ สน.หลโยธิน โดยอำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็คือ การเป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน อันเกี่ยวกับการจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดกฎหมาย ซึ่งต้องมีหน้าที่จับกุม หรือ ปราบปราม และเกี่ยวกับการสืบสวนนั้น หมายถึงการแสวงหาข้อเท็จจริง และหลักฐาน ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเพื่อจะทราบรายละเอียดแห่งความผิด
การตั้งด่านตรวจและการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นประทวน ของ สน.พหลโยธิน แม้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยทั้งสอง ซึ่งก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา แต่การที่โจทก์กับพวก จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเบี้ยเลี้ยงจากการปฏิบัติหน้าที่ ก็เป็นกรณีที่ ทางราชการได้วางระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ไว้ในทางบริหารต่างหาก
และตามเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ หมายเลข 6 ก็ระบุว่า สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ยังต้องส่งหลักฐานการขอเบิกเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว ต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปเพื่อพิจารณาอนุมัติ กับทั้งตามฟ้อง ก็ไม่ปรากฏว่า จำเลย ทั้งสองมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงให้แก่โจทก์กับพวก ที่จะถือได้ว่า จำเลยทั้งสอง เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจที่จะออกคำสั่งหักเงินเบี้ยเลี้ยงของโจทก์กับพวก หรือข่มขู่บังคับให้นำเงินเบี้ยเลี้ยงส่วนเกินมามอบให้ ที่จะถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งของจำเลยทั้งสองโดยมิชอบ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติสิ่งซึ่งอยู่ในหน้าที่ของจำเลยทั้งสองนั้นเองโดยมิชอบ
ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และมาตรา 157 จึงไม่ใช่คดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ มาตรา 3 ที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษาได้ จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้อง และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: