นายมานิตย์ กวีรัชต์ เจ้าของบันด าหยารีสอร์ท ได้นำคณะสื่อมวลชน จ.สตูล ลงดูพื้นที่รีสอร์ทของตนเองที่มีข้อพิพาทระหว่าง ตนเองกับ อุทยานฯตะรุเตา และ ข้อพิพาทระหว่าง ตนเองกับตำรวจว่า จริง ๆ แล้ว ตนเองนั้นมีข้อพิพาทกับอุทยานฯเพียงแค่ 3 ไร่เศษ เท่านั้น ทีมีปัญหากันอยู่ และอยู่ในกระบวนการศาลอยู่ในขณะนี้ แต่หากว่าคดีสิ้นสุดไม่ว่าจะด้วยเหตุใดหากตนเองแพ้ ก็ยอมที่จะส่งมอบที่ดินตรงพื้นที่ 3 ไร่เศษนั้นคืนให้แก่ อุทยานฯไป แต่หากว่าตนเองชนะก็ขอคืนพื้นที่นั้นกลับคืนมา ส่วนข้อพิพาทระหว่างตนเองกับตำรวจนั้น พื้นที่ตรงส่วนที่มีปัญหานั้น ตนเองได้ซื้อมาจากชาวเล เมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากว่าชาวเล นั้น มีปัญหาและถูกฟ้องร้องแต่ไม่มีเงินที่จะไปสู้คดีจึงได้ นำมาขายให้แก่ตนเอง โดยการขายนั้นก็ได้ไปทำเอกสารกันที่ที่ดินจังหวัดอย่างถูกต้อง และมีการปิดประกาศการซื้อขายตามกระบวนการซื้อที่ดินอย่างถูกต้อง แต่มาวันนี้ ตำรวจได้ฟ้องร้องตนเองว่า บุกรุกที่ตำรวจ ตนเองจึงได้ลุกขึ้นมาสู้เพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเองไว้ จึงได้นำคณะสื่อมวลชน จ.สตูล ลงไปดูพื้นที่จริง ๆ ว่าพื้นที่ นั้นมีลักษณะเช่นไร เพื่อที่ตนเองจะได้พิสูจน์ว่า ที่ดินนั้นเป็นของตนเองและได้ซื้อมา เพราะตลอดมาตนเองก็ได้ถามไปยังตำรวจว่า ขอดูเอกสารการอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากกรมอุทยานฯ ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารเพื่อทำสถานีตำรวจเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งก็ไม่มีและไม่สามารถเอามาให้ตนเองได้ดูได้ จึงทำให้เกิดข้อพิพาทกันอยู่ในขณะนี้ และประเด็นสำคัญ ทางตำรวจได้นำคณะไปขุดดูพื้นที่ ดินเพื่อพิสูจน์ว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นเคยทำเกษตรโดยการปลูกมะพร้าวหรือ ไม่ เพราะเมื่อขุดไปแล้วเจอรากมะพร้าว จึงได้เปลี่ยนที่ขุดใหม่ เพื่อเบี่ยงเบนให้ได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช้พื้นที่ทำการเกษตรหรือมีต้นมะพร้าวอยู่แต่อย่างใด ดังนั้นตนเอง จึงใครขอวอนสื่อเพื่อให้ตนเองได้มีพื้นที่ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงบ้าง ไม่ใช้โดนถูกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว และปัญหาจริง ๆ นั้น ขณะนี้ ตนเองมีปัญหาเรื่องที่เพียง 3 ไร่เศษ เท่านั้น ไม่ใช้ 18 ไร่ ตามที่เป็นข่าว
นายมานิตย์ กวีรัชต์ กล่าวต่อไปว่า ซึ่งหลังจากที่ มีข้อพิพาท ข่าวออกไป ทำให้รีสอร์ทของตนเองถูกระทบอย่างมากไม่ว่า จะเป็นการถูกถามว่าเป็นรีสอร์ทเถื่อนบ้าง บุกรุกที่บ้าง จะพักได้อีกหรือไม่ ซึ่ง ก็จะมีคำตาม ตามมาเลื่อย ๆ จนตอบคำถามกันเหนื่อย จนถึงขั้น ลูกค้าบางกลุ่มไม่กล้าที่จะเข้าไปพักในรีสอร์ทของตนเอง
