แม่ช็อกพบลูกชายวัย 30 ปี ใช้ปืนจ่อยิงใส่ใต้คางตัวเองหวังฆ่าตัวตาย โชคดีแค่สาหัส คาดเครียดที่สะสมมาหลายเรื่อง เหตุเกิดภายในบ้านเลขที่ 1485 หมู่ 9 ซอยเทพารักษ์ 14 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 12 มีนาคม 2563 ร.ต.ท.อัสนีย์ กองเกิด รองสารวัตรสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ สมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีชายใช้อาวุธปืนยิงตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในบ้านเลขที่ 1485 หมู่ 9 ซอยเทพารักษ์ 14 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและอาสาสมัครกู้ภัยป่อเต็กตึ้ง เดินทางเข้าตรวจสอบ
ข่าวน่าสนใจ:
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ได้พบว่าญาติได้ช่วยกันนำร่างของผู้บาดเจ็บลงมาด้านล่างก่อนแล้วทราบชื่อนายกิตินันท์ พงศาภาสิริทัต อายุ 39 ปี นอนหมดสติมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่ใต้คาง 1 แผลกระสุนไปตุงอยู่ที่กระพุ้งแก้มได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพได้ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนรีบนำส่งโรงพยาบาลสมุทรปราการ ขณะเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นไปตรวจสอบห้องที่เกิดเหตุได้พบปืนปากกาไทยประดิษฐ์ ตกอยู่จุดที่เกิดเหตุ 1 กระบอก โดยมีปลอกกระสุนปืนขนาด .22 บรรจุอยู่ในรังเพิง เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบถามมารดาของผู้บาดเจ็บซึ่งยังอยู่ในอาการตกใจ ได้เล่าว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นลูกชายของตนได้ถูกภรรยาทิ้งไป จนทำให้กลายเป็นโรคซึมเศร้าและมีอาการเครียด แต่ที่ผ่านมาตนเองก็พาไปรักษาอาการจนดีขึ้นตามลำดับ จนกะทั่งมาทราบข่าวว่าน้าสาวประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ลูกชายก็เดินทางไปเยี่ยมและดูแล หลังกลับมาจากโรงพยาบาล ลูกชายได้บ่นว่าเครียดที่น้าสาวมาประสบอุบัติเหตุ จากนั้นก็ขึ้นห้องไปพักตามปกติ ซึ่งตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร และได้เข้าครัวทำกับข้าวอยู่ในครัวชั้นล่าง หลังจากทำกับข้าวเสร็จ ก็ได้ขึ้นไปเรียกลูกชายให้ลงมากินข้าว แต่พอเปิดประตูห้องเข้าไปกลับพบว่าลูกชายเอาผ้ามาปิดที่ปลายคางและมีเลือดไหลจำนวนมาก ด้วยความตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกว่าจะตั้งสติได้จึงรีบโทรศัพท์แจ้งขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าผู้บาดเจ็บอาจจะเกิดอาการเครียดที่สะสมมาหลายเรื่องทั้งเรื่องที่ตนเองถูกภรรยาทิ้งและน้าสาวมาประสบอุบัติเหตุอีก ประกอบกับผู้บาดเจ็บเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว จึงน่าจะเกิดอาการเครียดและใช้อาวุธปืนปากกามาจอยิงที่ใต้ค้างตัวเองหวังฆ่าตัวตายดังกล่าว อย่างไรก็ตามคนต้องรอให้อาการของผู้บาดเจ็บมีอาการดีขึ้นถึงจะเข้าสอบปากคำอีกครั้งเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: