เจ้าของอู่แท็กซี่ออกมาเผย พฤติกรรมคุณลุงสิทธิ์ชัย ใกล้ชิด อายุ 72 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ ที่คนบริจาคเงินช่วยกว่า 8 ล้าน ว่าเป็นคนลวงโลก พักอาศัยอยู่กับลูกชายซึ่งเป็นบ้านเมียเก่าที่ยกให้ลูกชาย แถมยังติดเงินค่าเช่ารถทั้งตัวคุณลุงสิทธิ์ชัย และตัวลูกชาย หลายงวด ล่าสุดเจ้าของอู่แท็กซี่ได้เดินทางเข้าแจ้งความแล้ว และไม่อยากให้ใครหลงคำหลอกลวงของคุณลุงอีก
จากกรณีที่เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า แป๋ว แว๋ว ได้ลงเรื่องราวของคุณลุงสิทธิ์ชัย ใกล้ชิด อายุ 72 ปี ซึ่งเป็นคนขับแท็กซี่ หลังมาส่งของเพราะรายได้มันหดหายที่ออกมาให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตา ว่าชีวิตเหมือนหนังในละคร และตอนนี้ก็ไม่มีกินแล้วจึงต้องผันตัวมาส่งของพัสดุ ครั้งแรกในชีวิตซึ่งก็ไม่ชำนาญเส้นทางเพราะเมื่อก่อนเคยขับรถเมล์ก็พอรู้เส้นทาง แต่ไม่เก่ง แต่ก็ต้องปรับตัวเองให้อยู่รอด ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่ารถวันละ 300 บาท เลยต้องมารับจ้างส่งพัสดุแทนรับส่งผู้โดยสาร หลังมีการเผยแพร่ออกไปในโลกโซเชียลมีคนหลั่งไหลโอนเงินเข้ามาช่วยในคืนเดียวกว่า 8 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้ลุงสิทธิ์ชัย บอกว่า จะเอาไปสร้างบ้านอยู่เพราะยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง และจะนำเงินไปบริจาคช่วยเหลือโรงพยาบาล รักษาผู้ป่วยโควิด ซื้ออุปกรณ์ดับไฟป่า และให้มูลนิธิเพื่อคนขับแท็กซี่ และยังบอกว่าบ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านเช่าอยู่คนเดียว
ข่าวน่าสนใจ:
- สูงวัยตรัง ปลื้ม เตรียมตัวรับเงินหมื่น ฝันใช้ยามแก่-ต่อยอดอาชีพบั้นปลาย
- ตรัง จัดใหญ่ 12 วัน งานฉลองรัฐธรรมนูญและงานกาชาดจ.ตรัง 4-15 ธ.ค.นี้ รีแบร์นใหม่! ย้อนยุคงานเหลิมแต่แรก แสดงบินโดรนพิธีเปิด วธ.ทุ่ม 3.4 ล้าน…
- จนมุมเพราะไก่ชน!! ตำรวจบางละมุงวางแผนเหนือเมฆ หลอกแก๊งค์ค้ายานรกมาซื้อไก่ชน ก่อนตามรวบยกแก๊งค์ ยึดยาบ้าแสนเม็ด - ไอซ์ 1 กก. พร้อมรถ 2 คัน…
- ธุรกิจโก-ลกเริ่มหวั่น! นทท.ลดฮวบ-หลังมาเลย์ดีเดย์ 1 ธค.เข้า-ออกผิดกฎหมาย - จับทันที
ล่าสุดในวันนี้ที่ 12 พฤษภาคม 2563 นายปรีชา ชุ่มสมบัติ อายุ 49 ปี เจ้าของอู่แท็กซี่ มังกรเจ้าพระยา ที่คุณลุงสิทธิ์ชัย มาเช่ารถแท็กซี่ขับอยู่ ได้ออกมาเผยพฤติกรรมของคุณลุงสิทธิ์ชัย ใกล้ชิด โชว์เฟอร์แท็กซี่วัย 72 ปี ที่มีคนแห่บริจาคเงินช่วยเหลือคืนเดียวมากถึงกว่า 8 ล้านบาท ว่าลุงประสิทธิ์ เป็นคนลวงโลก ไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่ออีก เพราะก่อนหน้านี้นายสิทธิ์ชัย และลูกชายได้มาเช่ารถแท็กซี่ของตนขับอยู่ทั้ง 2 คน และค้างค่าเช่ารถของตนไว้รวม 2 คน เป็นเงินกว่า 13,570 บาท จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ยอมเอาเงินส่วนที่ค้างค่าเช่าไว้มาให้ พอตามไปที่บ้านก็ไม่เจอตัวโทรศัพท์ไปก็ติดต่อไม่ได้ทั้งพ่อทั้งลูก เมื่อวานนี้จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางปู สมุทรปราการ
โดยนายปรีชา ได้เล่าว่า ตนเป็นเจ้าของอู่แท็กซี่มังกรเจ้าพระยา และผมอยากให้ลุงคนนี้ที่ออกมาพูดไม่เป็นความจริงตรงที่บอกว่าอยู่คนเดียว เพราะจริง ๆ แล้วอยู่กับลูกและหลานซึ่งลูกชายก็มาเช่ารถแท็กซี่ที่อู่ตนขับอยู่ทุกคนมีงานทำ แต่ไปหลอกลวงสังคมว่าอยู่คนเดียวไม่มีจะกิน ก็อยากให้สังคมรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดไม่เป็นความจริง และลูกชายเขาก็ขับรถแท็กซี่อยู่ทีวินโลตัสบางปู ว่าเขามีอาชีพไม่ใช้อย่างที่เขาพูดว่าอยู่คนเดียว และบ้านที่อยู่ก็ไม่ได้เช่าใคร เป็นบ้านของเมียเก่าที่เขาให้ลูกชายอยู่ ซึ่งลุงสิทธิ์ชัย ก็อยู่กับลูกไม่ได้เช่าใครอยู่ลูกเขาบอก จ่ายแค่ค่าน้ำค่าไฟเท่านั้น ซึ่งลูกเขาก็มีงานทำไม่ได้ยากไร้อย่างที่เขาพูด ก่อนหน้านี้ที่เขามาเช่ารถแท็กซี่ไปขับพฤติกรรมของเขาก็คือถ้าติดหนี้แล้วไปทวงก็ไม่ได้ และเขาไม่มีความรับผิดชอบอย่างรถเสียเขาก็จะไม่รับผิดชอบเลย คืออ้างอย่างเดียวว่ารถพังแต่การที่จะช่วยกันดูแลเขาก็จะปฎิเสธตลอด และบอกว่ามันพังเอง ซึ่งเคยตกลงกันว่าช่วยกันดูแลเพราะรถอยู่กับเขา คำว่าช่วยกันดูแลคือให้ช่วยดูแลรถให้ ไม่ได้ให้ช่วยออกเงิน ค่าเช่าเราก็คิดกะเดียวแบบควงกะวันละ 700 บาท ซึ่งลุงเขาก็เป็นคนใจน้อยสะกิดอะไรไม่ได้ ล่าสุดก่อนที่จะไปให้สัมภาษณ์เขาก็ไม่มาเช่ารถของตนแล้ว หนีไปเช่าที่อื่น ทั้ง ๆ ที่ค้างค่าเช่าตนไว้ประมาณ 1,400 บาท ในส่วนตัวของเขาและค่าค้ำประกันของลูกชายเขาอีกที่เป็นค่าเช่าที่ค้างไว้อีก 13,970 บาท เขาเป็นคนค้ำเขาต้องรับผิดชอบ รวมแล้ว 2 คนทั้งพ่อและลูก 14,970 บาท ซึ่งลูกชายเขาก็ไม่เช่ารถตนขับอีก พอไปตามที่บ้านก็ไม่เจอโทรศัพท์ไปก็ไม่ติด เมื่อวางตนจึงได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่โรงพัก สภ.บางปู เอาไว้ คือเราต้องการให้เขากลับมาใช้หนี้ที่ค้างไว้เท่านั้น และอยากจะฝากบอกเขาว่า อย่าไปหลอกลวงสังคมอีก ทุกคนที่เขาลำบากกว่ายังมีอีกเยอะ
ในตอนแรกที่ลุงสิทธิ์ชัย ได้รับเงินบริจาคมาแล้ว ที่ตนไม่ออกไปเรียกร้องตอนนั้น เป็นเพราะว่าตนมองว่า มันไม่ใช่เรื่องของตน ผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าลุงสิทธิ์ แหกตาสังคม แต่ตนมองว่า ไม่ใช่เรื่องอะไรของตน เพราะเขาได้ก็ส่วนของเขาไป แต่สังคมที่วินโลตัสบางปู เขากระหน่ำต่อว่าไม่รู้เท่าไหร่ เพราะเขารู้นิสัยว่าลุงสิทธิ์ พูดมันไม่ใช่ความจริงที่ว่าอยู่คนเดียวไม่มีจะกินที่ร้องไห้ ให้คนสงสารมันไม่ใช่เรื่องจริง ลูกก็มีงานทำลูกก็ขับรถอยู่ และในตอนที่เขาได้รับเงินไปแล้ว ตนเคยทวงถามกับลูกเขา เขาก็บอกเขาไม่ลืม แต่ก็ยังไม่ได้เพราะว่าที่ติดนั้น คือติดทั้งพ่อและลูก แต่ตอนนี้ไม่ได้มาขับรถตนแล้วเขาหายไปตั้งแต่ช่วงโควิดเริ่มระบาด และการที่ตนออกมาในครั้งนี้เพราะไม่อยากให้คนอื่นถูกหลอกอีก และอยากให้รู้ว่าคนคนนี้ลวงโลก เขาไม่ได้น่าสงสารอย่างที่คนอื่นคิด เราไม่ได้ไปอิจฉาเขาเลย เพราะตนไม่ได้สนใจแต่ตนสนใจหนี้ของตนที่ติดอยู่ทำไมไม่จ่าย ทวงถามก็เงียบ เขาพ่อลูกกันอยู่ด้วยกันยังไงก็ถึงกันเพราะเขาอยู่ด้วยกัน ตอนนี้หาตัวทั้งพ่อทั้งลูกไม่เจอแล้วโทรไปก็ติดต่อไม่ได้ ก็อยากจะฝากถึงคนที่จะบริจาค ว่าเวลาที่จะบริจาคอะไรเช็คกันดูให้ดี เพราะอย่ากรณีเคสแบบนี้มาร้องไห้ ให้คนสงสารแล้วก็แห่โอนเงินกัน คนที่เขาลำบากจริงก็มี แต่คนที่พูดใส่ไข่แบบว่าให้สงสารก็มีเยอะ ก็อยากให้พิจารณาให้ดีหน่อยเพราะเงินทุกวันนี้ก็หายาก
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: