หนุ่ม วัย 38 ปี เมากร่าง ขับรถยนต์เก๋งขวางทางรถพยาบาลขณะกำลังไปรับผู้ป่วยฉุกเฉินอาการหนัก สุดท้ายไม่รอดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามถึงบ้านเจอแจ้งข้อกล่าวหาหนักถึงกับหน้าซีด สร่างเมา ทันที
เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ร.ต.อ.สราวุธ มั่งมี สวป.สภ.เมือง สมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีชายซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาสุราขับรถขวางหน้ารถพยาบาลไปกำลังไปรับผู้ป่วยฉุกเฉินและลงไปพยายามหาเรื่องกับเจ้าหน้าที่พยาบาล ที่นั่งมาภายในรถ ก่อนขับหลบหนีเข้าไปที่บ้านพักภายในซอยวิทยุการบิน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยมีเจ้าหน้าที่อาสาหน่วยกู้ภัยติดตามไป หลังรับแจ้งจึงเดินทางเข้าตรวจสอบ
ข่าวน่าสนใจ:
ที่บ้านหลังดังกล่าวได้พบเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยกำลังปิดล้อมรถยนต์เก๋งยี่ห้อ โตโยต้า อัลติส สีขาว ทะเบียน 1 กฎ 438 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ ซึ่งมีนาย สัมฤทธิ์ มณีฤทธิ์ อายุ 38 ปี (ทราบชื่อภายหลัง) ซึ่งเป็นคนขับและอยู่ในอาการมึนเมาสุราหลบหนีเข้าไปนั่งอยู่ในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าเจรจาก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะพาตัวนาย สัมฤทธิ์ ไปสอบสวนที่โรงพัก
ขณะที่เจ้าหน้าที่พยาบาลกู้ชีพของโรงพยาบาลสมุทรปราการ ได้นำคลิปที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพเหตุการณ์มาเปิดเป็นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ดู โดยในระหว่างที่รถพยาบาลคันดังกล่าวกำลังเดินทางไปรับผู้ป่วยฉุกเฉินที่หมดลมหายใจและเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันปั๊มหัวใจอยู่ภายในบ้านหลังหนึ่งในซอยวิทยุการบิน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ระหว่างทางบนถนนสุขุมวิท รถพยาบาลคันดังกล่าวได้เปิดสัญญาณไฟและเสียงฉุกเฉินเพื่อขอทาง แต่ปรากฏว่านาย สัมฤทธิ์ ซึ่งขับรถเก๋งคันดังกล่าวอยู่ด้านหน้าได้ขับรถขวางทางรถพยาบาลอยู่นาน จนเจ้าหน้าที่ตัดสินใจเปลี่ยนเลนเพื่อเร่งไปช่วยชีวิตผู้ป่วย แต่นายสัมฤทธิ์ กลับไม่หยุดพฤติกรรมดังกล่าว และปาดเข้าซ้ายพร้อมเปิดกระจกกวักมือเรียกรถพยาบาลให้จอดข้างทาง ก่อนจะเดินลงมาต่อว่าเจ้าหน้าที่ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้านเจ้าหน้าที่พยาบาลพยามอธิบายและร้องขอให้รถพยาบาลเข้าไปรับผู้ป่วยก่อนเนื่องจากอาการวิกฤตและหยุดหายใจ แต่นายสัมฤทธิ์กลับไม่ยินยอม ถึงแม้เจ้าหน้าที่พยาบาลจะบอกว่าหากไม่เชื่อให้ขับรถตามหลังมาตรวจสอบได้ว่ามีผู้ป่วยจริงไหม
ขณะที่คลิปวีดีอีกมุมที่มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยท่านหนึ่งบันทึกเหตุการณ์เอาไว้แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทั้งทีมกู้ชีพและกู้ภัยพยามช่วยกันปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตให้กับผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นชายวัย 46 ปี ระหว่างที่รอรถพยาบาลกู้ชีพจากโรงพยาบาลสมุทรปราการมารับตัวส่งตัว สุดท้ายผู้ป่วยรายนี้เสียชีวิตระหว่างทาง แต่เหตุการณ์ไม่จบแค่นั้นหลังจากที่แยกย้ายกันระหว่างรถนายสัมฤทธิ์กับรถพยาบาล นายสัมฤทธิ์ได้โทรศัพท์ไปยังศูนย์สั่งการระบบบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อร้องเรียนกล่าวหารถพยาบาล โดยอ้างว่ารถพยาบาลคันดังกล่าวไม่มีเหตุฉุกเฉินแต่เปิดสัญญาณไฟและเสียง และไม่ได้ขับเร็วแต่อย่างใด หากมีเหตุจริงจะต้องขับเร็วกว่านี้ …ตามคลิป
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กู้ภัยและทีมกู้ชีพได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.เมืองสมุทรปราการเข้าจับกุมนายสัมฤทธิ์ พร้อมกับพบรถคันก่อเหตุ เจ้าตัวทันทีที่พบตำรวจและจะต้องถูกคุมตัวส่งโรงพักดำเนิน ถึงกับหน้าซีด ฝ่ายมารดาถึงกับเอ่ยปากร้องขอเจ้าหน้าที่ไม่ให้จับกุมตัวลูกชาย เนื่องจากไม่มีเงินประกันตัว ตำรวจจึงคุมตัวนายสัมฤทธิ์ ไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดพบว่าเกินกว่ากฎหมายกำหนดสูงถึง 190 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น จึงถูกดำเนินคดีในข้อหา ขับรถในขณะเมาสุรา 2. การขับรถกีดขวางเส้นทางรถพยาบาลนั้น เข้าข่ายผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 76 ระบุว่า เมื่อเห็นรถฉุกเฉินในขณะปฏิบัติหน้าที่ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบ หรือได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน จะต้องให้รถฉุกเฉินผ่านไปก่อน หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท นอกจากนั้นอาจถูกแจ้งข้อหาหนักอีกกระทงคือเข้าข่ายกระทำความผิดโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือกระทำโดยเจตนาเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งทางด้านเจ้าหน้าที่พยาบาลได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับทางด้านพนักสอบสวนแล้ว ขณะที่มีรายงานว่าทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตเตรียมแจ้งความเอาผิดเพิ่มด้วยเช่นกัน
ด้าน นางสาว สุเบญจา บวรพรเกษม พยาบาลวิชาชีพ ที่อยู่ในรถพยาบาลคันเกิดเหตุเล่าว่า ขณะที่รถพยาบาลกำลังเดินทางกลับมาจากส่งผู้ป่วยเคสแรกเมื่อมาถึงหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ ศูนย์สั่งการได้วิทยุเรียกแจ้งว่ามีผู้ป่วยฉุกเฉินกำลังทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตอยู่ จึงเดินทางไปยังบ้านผู้ป่วย โดยการเปิดสัญญาณไฟวับวาบและเสียงฉุกเฉิน เมื่อรถพยาบาลผ่านพ้นแยกโค้งโพธิ์สังเกตเห็นว่ามีรถคู่กรณีพยามขับตีคู่แข่งกับรถพยาบาลก่อนจะปาดหน้ากะทันหัน จึงตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานตามที่ปรากฏในคลิป
ขณะที่นายสัมฤทธิ์ ผู้ก่อเหตุหลังถูกจับกุมเจ้าตัวออกมายอมรับผิดและกล่าวคำขอโทษ สาเหตุที่ทำไปเพราะอ้างว่ารถพยาบาลจี้ตูดมา ยอมรับว่าเห็นไฟฉุกเฉินแต่อ้างว่าไม่ได้ยินเสียง เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวเอาไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: