พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาสามคดีสำคัญ หลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและสิงคโปร์ คดีฉ้อโกง และคดีแร้งรักออนไลน์ มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท
เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 2 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สมุทรปราการ พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ทท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ทท.1 ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาใน 3 คดีซึ่งเป็นที่น่าสนใจของประชาชนมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท
ข่าวน่าสนใจ:
- ขอนแก่น พร้อมจัด " Khonkaen Countdown 2025 Rise Beyond" ขอนแก่น พุ่งทะยานสู่อนาคต อย่างยิ่งใหญ่ คาดเงินสะพัด 50 ล้านบาท
- "เลยดั้น" แค่มุมภาพเดียว กลายเป็นไวรัล ดึงดูด นทท.แห่เช็คอินถ่ายภาพ อ.น้ำหนาวเตรียมดันเป็นซอฟพาวเวอร์
- พร้อมรับสมัครเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภา อบจ.พังงา เชิญชวนคนดีมีความสามารถมาสมัคร 23-27 ธันวาคมนี้
- สองแม่ลูกปีนหน้าต่างชั้น 2 หนีตายไฟไหม้บ้านกลางดึก คาดไฟฟ้าลัดวงจร
โดยในคดีแรกเป็นคดี หลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมลงทุนประกอบธุรกิจนำเที่ยวและธุรกิจให้บริการต่อวีซ่ามีผู้เสียหายจำนวนมากมูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สามารถจับกุมตัว น.ส.วรินทร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี เจ้าของบริษัท โลโคโมชั่นทัวร์ จำกัด และธุรกิจต่อวีซ่า ประเภทเกษียนอายุ โดยมีหลักเกณฑ์ผู้ขออนุญาตขอวีซ่าต้องมีเงินในบัญชี 8 แสนบาท โดยอาศัยว่า น.ส.วรินทร มีแฟนเป็นชาวญี่ปุ่น จึงพูดภาษาญี่ปุ่นได้จึงเป็นที่น่าเชื่อถือในการหลอกให้ชาวต่างชาติมาร่วมลงทุนโดยเสนอผลตอบแทนให้ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลแขวงเชียงใหม่ ในฐานฉ้อโกงทรัพย์ โดยจับกุมได้ที่ห้องพักอาคารยุคลรัตน์คอนโดมีเนี่ยม เลขที่ 261 / 1 -173 อาคารบี ห้องที่ 261 / 154 แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ก่อนคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่เพื่อดำเนินคดี
ส่วนคดีที่สอง เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.สุภาพร อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 611 / 2564 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2564 ในฐานความผิด ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง พฤติกรรมกล่าวคือ ผู้ต้องหาได้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบอาชีพมัคคุเททศก์ เช่น เจ้าหน้าที่กรมท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาจารย์ของมหาลัย ซึ่งมีหลักสูตรเกี่ยวกับอาชีพมัคคุเทศก์ เพื่อให้เกิดความเชื่อถือ และหลอกลวงโดยใช้วิธีการโฆษณาข้อความผ่านเฟซบุ๊ก และช่องทางอื่นตามเว็บไซต์ต่าง ๆ โยอ้างว่าสามารถออกใบอนุญาตมัคคุเทศก์หรือบัตรไกด์ได้ โดยมีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ จนเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินให้กับผู้ต้องหาจำนวนหลายครั้งรวมกว่า 3 แสนบาท ก่อนที่ผู้ต้องหาจะบล็อกเบอร์โทรของผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงได้รวมตัวกันเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวสามารถติดตามจับกุมตัวเอาไว้ได้
คดีที่สาม เป็นคดีแกล้งรักออนไลน์ ซึ่งเป็นกรณีชาวต่างชาติปลอมเฟสบุ๊คเป็นบุคคลหน้าต่างดี โดยร่วมมือกับหญิงไทยหลอกโอนเงินค่าพัสดุจากต่างประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่งานสืบสวน กก.1 บก.ทท.1ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ก่อเหตุเอาไว้ได้จำนวน 2 คน ชื่อ น.ส.วนิดา และ น.ส.ธัญชนก ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ในฐานความผิด นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น โดยจับกุมได้ที่บ้านพักในจังหวัดภูเก็ต พฤติกรรม ผู้ต้องหาได้ใช้เฟซบุ๊กปลอมชื่อ Amit Khan ซึ่งมีภาพโปรไฟล์เป็นชาวต่างชาติ ผิวขาวหน้าตาดี ประกอบอาชีพนักบิน แอดมาเป็นเพื่อนกับผู้เสียหาย และมีการพูดคุยกัน และมีการส่งภาพทรัพย์สินเงินสดจำนวนมากรวมทั้งทองคำ เครื่องประดับราคาแพง ให้ผู้เสียหายดู เพื่อให้ผู้เสียหายตายใจว่าเป็นคนรวยจริง
จนกระทั่งกลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ก่อเหตุได้โทรศัพท์มาหาผู้เสียหายอ้างว่ามีพัสดุมูลค่าสูงจัดส่งมาให้ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายต้องจ่าค่าจัดส่งเองเป็นเงินจำนวน 21,000 บาท โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุยังได้มีการใช่แอพพลิเคชั่นไลน์ที่ใช้ชื่อโปรไฟล์ว่า BP solution แอดเข้าคุยกับผู้เสียหายเรื่องการชำระค่าส่งพัสดุอีกทางหนึ่งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้เสียหาย และหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าพัสดุเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือให้ไปชำระในขณะที่ไปรับพัสดุที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผู้เสียหายได้โอนเงินไปจำนวน 2 ครั้งรวมกว่า 51,000 บาท แต่เมื่อผู้เสียหายเดินทางมารับพัสดุที่สานามบินสุวรรณภูมิ กลับพบว่าไม่มีพัสดุดังกล่าว ผู้เสียหายจึงรู้ว่าถูกหลอกจึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ร่วมกระทำผิดเอาไว้ได้ และจากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองได้ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกับชาวไนจีเรียก่อเหตุดังกล่าวจริงหลังได้เงินมาก็จะนำมาแบ่งกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ทำการสอบสวนขยายผลติดตามจับกุมผู้ร่วมก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: